“ผอ.สศค.” เผย ผลจัดเก็บรายได้ในเดือน ก.พ. จะมีทั้งสิ้นกว่า 1.53 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 226 ล้านบาท ส่งผลให้ 5 เดือนแรกของปีงบฯ 60 รัฐบาลมีรายได้แล้ว 876,275 ล้านบาท
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือน ก.พ. 60 ว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 153,737 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการณ์ 266 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.2 และยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 3.1 ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรกขอปีงบฯ 60 (ต.ค.59-ก.พ.60 รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวม 876,275 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 14,190 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6% แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 1.9
โดยภาพรวมการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจในเดือน ก.พ.60 ยังสูงกว่าประมาณการ 2,638 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.6 และยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 52.3 ขณะที่การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากรจะสูงกว่าประมาณการ 2,638 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.7 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 16.1 สำหรับผลการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรขาเข้านั้น ยังต่ำกว่าประมาณการ 4,844 3,642 และ 1,889 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 82.1, 5.8 และ 20.8 ตามลำดับ
ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ยังเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังได้ประเมินไว้ โดยนายกฤษฎา ย้ำว่า กระทรวงการคลังจะดูแลการจัดเก็บรายได้ในช่วงระยะเวลาที่เหลือให้เป็นไปตามกรอบที่ได้วางไว้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของฐานะการคลังของประเทศ และสนับสนุนการใช้จ่ายของภาครัฐในการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ สศค. ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการจัดเก็บรายได้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559-กุมภาพันธ์ 2560) ว่า รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิทั้งสิ้น 876,275 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 14,190 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.6
ทั้งนี้ เป็นผลจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 20,902 และ 11,512 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.0 และ 22.5 ตามลำดับ สำหรับภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีน้ำมัน และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนภาพรวมการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมจัดเก็บนั้น นายกฤษฎา กล่าวว่า กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้รวม 616,204 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,421 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.3 แต่อย่างไรก็ตาม ผลการจัดเก็บยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 59 จำนวน 17,828 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0
โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 10,823 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.2 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการผลิต อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.พ.60 การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากภาคการผลิตได้กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบปี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การนำเข้าวัตถุดิบ และสินค้าขั้นกลางมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า
สำหรับภาษีเงินได้ปิโตรเลียม กรมสรรพากรจัดเก็บได้ 1,891 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 4,609 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 70.9 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบฯ 59 ร้อยละ 63.2 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลเนื่องมาจากผู้ประกอบการที่มีรอบระยะเวลาบัญชีปีงบประมาณ ซึ่งต้องชำระภาษีในเดือน ก.พ.2560 ได้โอนสัมปทานหลุมขุดเจาะให้บริษัทในเครือจึงทำให้มีการชำระภาษีในเดือน ก.พ. ปรับตัวลดลง ส่วนผู้รับโอนสัมปทานจะมีรอบระยะเวลาบัญชีปีปฏิทิน ซึ่งจะชำระภาษีในเดือน พ.ค.2560
อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยังจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 6,373 ล้านบาท และ 3,204 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.4 และ 2.5 ตามลำดับ แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.8 และ 3.1 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการของภาคเอกชน และการจ้างงานในตลาดแรงงานว่า ยังคงขยายตัวได้ดี
สำหรับผลการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตในรอบ 5 เดือนแรกของปีงบฯ สามารถจัดเก็บรายได้รวม 223,331 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2,907 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.3 แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 5.6 โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีรถยนต์ และภาษีสุรา จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 4,021 3,850 และ 2,848 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.6 9.3 และ 10.3 ตามลำดับ
ส่วนการจัดเก็บภาษีน้ำมันนั้นสูงกว่าประมาณการ 6,072 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ ที่ผ่านมา ร้อยละ 29.0 ซึ่งเป็นผลอันเนื่องจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันเบนซินที่สูงกว่าประมาณการ รวมทั้งยังมีการจัดเก็บภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น และน้ำมันหล่อลื่น นอกจากนี้ ผลการจัดเก็บภาษีเบียร์ที่สูงกว่าประมาณการ 2,383 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.9 แต่ยังถือว่าเป็นผลจัดเก็บที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.4%
ด้านผลจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากรนั้น ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวว่า สามารถจัดเก็บรายได้รวม 42,233 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,567 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.9 และยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ที่ร้อยละ 12.7 โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าที่ต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 8,712 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.5 เนื่องจากการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ได้มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรในระยะที่ 2 ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ และเงินบาทในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบฯ 60 ขยายตัวร้อยละ 6.2 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ
สำหรับผลการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจจะมีรวมกัน รวม 62,564 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 11,512 ล้านบาท หรือคิดร้อยละ 22.5 และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 44.6 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำส่งรายได้ที่ค้างนำส่งจากปีก่อนหน้า โดยรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ 5 อันดับแรก ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง โรงงานยาสูบ กองทุนวายุภักษ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ส่วนหน่วยงานอื่นสามารถจัดเก็บรายได้รวม 82,384 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 20,902 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 34.0 แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบฯ ที่ผ่านมา ร้อยละ 37.3 โดยมีสาเหตุที่สำคัญจากการรับรู้ส่วนเกินจากการจำหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน การนำส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียน รวมถึงการนำส่งเงินเหลือจ่ายประจำปี 2559 ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ด้านการจัดเก็บรายได้ของกรมธนารักษ์นั้น จะมีทั้งสิ้น 4,041 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 142 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 อีกทั้ง ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 18.0 อีกด้วย โดยรายได้จากที่ราชพัสดุ และจากการจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
อย่างไรก็ตาม นายกฤษฎา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงยอดการคืนภาษีของกรมสรรพากรจะมีทั้งสิ้น 116,983 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1,102 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 โดยแบ่งเป็นการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 87,600 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการ 13,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.5 และการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ จะมีรวมกันทั้งสิ้น 29,383 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 12,598 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 75.1 ส่วนอากรถอนคืนกรมศุลกากร จำนวน 4,342 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 92 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.2
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือน ก.พ. 60 ว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 153,737 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการณ์ 266 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.2 และยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 3.1 ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรกขอปีงบฯ 60 (ต.ค.59-ก.พ.60 รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวม 876,275 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 14,190 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6% แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 1.9
โดยภาพรวมการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจในเดือน ก.พ.60 ยังสูงกว่าประมาณการ 2,638 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.6 และยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 52.3 ขณะที่การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากรจะสูงกว่าประมาณการ 2,638 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.7 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 16.1 สำหรับผลการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรขาเข้านั้น ยังต่ำกว่าประมาณการ 4,844 3,642 และ 1,889 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 82.1, 5.8 และ 20.8 ตามลำดับ
ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ยังเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังได้ประเมินไว้ โดยนายกฤษฎา ย้ำว่า กระทรวงการคลังจะดูแลการจัดเก็บรายได้ในช่วงระยะเวลาที่เหลือให้เป็นไปตามกรอบที่ได้วางไว้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของฐานะการคลังของประเทศ และสนับสนุนการใช้จ่ายของภาครัฐในการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ สศค. ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการจัดเก็บรายได้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559-กุมภาพันธ์ 2560) ว่า รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิทั้งสิ้น 876,275 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 14,190 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.6
ทั้งนี้ เป็นผลจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 20,902 และ 11,512 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.0 และ 22.5 ตามลำดับ สำหรับภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีน้ำมัน และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนภาพรวมการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมจัดเก็บนั้น นายกฤษฎา กล่าวว่า กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้รวม 616,204 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,421 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.3 แต่อย่างไรก็ตาม ผลการจัดเก็บยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 59 จำนวน 17,828 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0
โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 10,823 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.2 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการผลิต อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.พ.60 การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากภาคการผลิตได้กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบปี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การนำเข้าวัตถุดิบ และสินค้าขั้นกลางมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า
สำหรับภาษีเงินได้ปิโตรเลียม กรมสรรพากรจัดเก็บได้ 1,891 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 4,609 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 70.9 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบฯ 59 ร้อยละ 63.2 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลเนื่องมาจากผู้ประกอบการที่มีรอบระยะเวลาบัญชีปีงบประมาณ ซึ่งต้องชำระภาษีในเดือน ก.พ.2560 ได้โอนสัมปทานหลุมขุดเจาะให้บริษัทในเครือจึงทำให้มีการชำระภาษีในเดือน ก.พ. ปรับตัวลดลง ส่วนผู้รับโอนสัมปทานจะมีรอบระยะเวลาบัญชีปีปฏิทิน ซึ่งจะชำระภาษีในเดือน พ.ค.2560
อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยังจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 6,373 ล้านบาท และ 3,204 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.4 และ 2.5 ตามลำดับ แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.8 และ 3.1 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการของภาคเอกชน และการจ้างงานในตลาดแรงงานว่า ยังคงขยายตัวได้ดี
สำหรับผลการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตในรอบ 5 เดือนแรกของปีงบฯ สามารถจัดเก็บรายได้รวม 223,331 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2,907 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.3 แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ร้อยละ 5.6 โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีรถยนต์ และภาษีสุรา จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 4,021 3,850 และ 2,848 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.6 9.3 และ 10.3 ตามลำดับ
ส่วนการจัดเก็บภาษีน้ำมันนั้นสูงกว่าประมาณการ 6,072 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ ที่ผ่านมา ร้อยละ 29.0 ซึ่งเป็นผลอันเนื่องจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันเบนซินที่สูงกว่าประมาณการ รวมทั้งยังมีการจัดเก็บภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น และน้ำมันหล่อลื่น นอกจากนี้ ผลการจัดเก็บภาษีเบียร์ที่สูงกว่าประมาณการ 2,383 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.9 แต่ยังถือว่าเป็นผลจัดเก็บที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.4%
ด้านผลจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากรนั้น ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวว่า สามารถจัดเก็บรายได้รวม 42,233 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,567 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.9 และยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีงบฯ 59 ที่ร้อยละ 12.7 โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าที่ต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 8,712 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.5 เนื่องจากการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ได้มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรในระยะที่ 2 ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ และเงินบาทในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบฯ 60 ขยายตัวร้อยละ 6.2 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ
สำหรับผลการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจจะมีรวมกัน รวม 62,564 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 11,512 ล้านบาท หรือคิดร้อยละ 22.5 และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 44.6 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำส่งรายได้ที่ค้างนำส่งจากปีก่อนหน้า โดยรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ 5 อันดับแรก ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง โรงงานยาสูบ กองทุนวายุภักษ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ส่วนหน่วยงานอื่นสามารถจัดเก็บรายได้รวม 82,384 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 20,902 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 34.0 แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบฯ ที่ผ่านมา ร้อยละ 37.3 โดยมีสาเหตุที่สำคัญจากการรับรู้ส่วนเกินจากการจำหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน การนำส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียน รวมถึงการนำส่งเงินเหลือจ่ายประจำปี 2559 ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ด้านการจัดเก็บรายได้ของกรมธนารักษ์นั้น จะมีทั้งสิ้น 4,041 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 142 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 อีกทั้ง ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 18.0 อีกด้วย โดยรายได้จากที่ราชพัสดุ และจากการจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
อย่างไรก็ตาม นายกฤษฎา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงยอดการคืนภาษีของกรมสรรพากรจะมีทั้งสิ้น 116,983 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1,102 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 โดยแบ่งเป็นการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 87,600 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการ 13,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.5 และการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ จะมีรวมกันทั้งสิ้น 29,383 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 12,598 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 75.1 ส่วนอากรถอนคืนกรมศุลกากร จำนวน 4,342 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 92 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.2