“มั่นคงเคหะการ” ระบุอสังหาฯ โซนภาคตะวันตกของ กทม.ทำบางใหญ่ แหล่งศักยภาพสูง ทั้งโครงข่ายเมกะโปรเจกต์ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และแนวโน้มราคาที่ดินขยับขึ้น 10-12% ต่อปี มีผลต่อราคาบ้านในอนาคต พร้อมสานต่อแผนพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด เผยแผนปี 60 ดันแบรนด์ใหม่ทำตลาด 5 โครงการ มูลค่ากว่า 2,604 ล้านบาท นำร่อง 3 โครงการใหม่โซนตะวันตกของ กทม. ระบุซัปพลายเหลือน้อย มั่นใจกลยุทธ์ตรวจเครดิตลูกค้า ลดความเสี่ยงแบงก์ปฎิเสธสินเชื่อ ส่วนครึ่งปีหลังรุกโซนตะวันออก วางเป้าขายทั้งแนวราบ-แนวสูง 4,000 ล้านบาท
นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนภาคตะวันตกของกรุงเทพฯ ว่า ผลจากการพัฒนาโครงการระดับเมกะโปรเจกต์ของทั้งภาครัฐ และเอกชน อาทิ ระบบคมนาคม ศูนย์การค้า ฯลฯ โดยเฉพาะการเปิดใช้บริการของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) ถือเป็นปัจจัยเสริมหลักที่ทำให้ที่ดินในย่านตะวันตกของกรุงเทพฯ ถูกจับตา และให้ความสำคัญในฐานะทำเลหลักที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงการเพื่อการอยู่อาศัยอย่างมาก อีกทั้ง ราคาที่ดินในย่านดังกล่าวยังขยับตัวขึ้นประมาณ 10-12% ต่อปี ส่งผลต่อราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวตามต้นทุนของที่ดิน
“หลังรถไฟฟ้าเส้นบางซื่อ-บางใหญ่ หรือรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้วเสร็จ และหากเรื่องการเชื่อมต่อแล้วเสร็จ จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อการโดยสารมากขึ้น และจะยิ่งมีผลต่อราคาที่ดิน ตอนนี้ ราคาที่ดินปากซอยไหลไปกว่าๆ แสนบาทต่อตารางวาแล้ว และหากทำเลใกล้รถไฟฟ้าก็จะขยับสูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม โครงการที่อยู่อาศัยประเภท ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ยังเป็นสินค้าที่ต้องการของลูกค้า ขายดี ซึ่งในปี 2559 กว่า 16,000 ยูนิต ในระบบถูกขายออกไป
สำหรับทิศทางการลงทุนโครงการของบริษัทในปีนี้ วางเป้าพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว รวม 5 โครงการ มูลค่าโครงการ 2,604 ล้านบาท ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิด 3 โครงการในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ซึ่งพัฒนาในรูปแบบบ้านพร้อมอยู่ ประกอบด้วย โครงการชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่ (ทาวน์โฮม) ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 414 ล้านบาท, โครงการชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่ (บ้านแฝด) ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 440 ล้านบาท และโครงการชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่ (ทาวน์โฮม 2 ชั้น) เปิดขายในเดือน พ.ค. เนื้อที่โครงการ 27 ไร่ จำนวนเกือบ 300 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท มูลค่า 860 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,714 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของระบบคมนาคม และขนส่งมวลชน ระบบสาธารณูปโภค และโครงการระดับเมกกะโปรเจกต์ต่างๆ ทั้งของภาครัฐ และเอกชน โดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ในย่านดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจากแรงสนับสนุนของภาครัฐในการขยายแหล่งที่อยู่อาศัยระดับใหญ่สู่บริเวณรอบๆ กรุงเทพฯ
“เดิมราคาบ้านของ MK จะประมาณ 3-5 ล้านบาท แต่เราขยับราคาลงมาระดับ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่มีความต้องการ โดยเชื่อมั่นว่า การนำเสนอ 3 โครงการบ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลางที่ราคา 2-5 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ฟรีดอม ลิฟวิ่ง ประสบการณ์ใหม่แห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัว” ด้วยจุดเด่นพื้นที่ใช้สอยของบ้านแฝดที่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว พร้อมเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัย และความปลอดภัยให้กับลูกค้า และคอนเซ็ปต์ “สมาร์ท ลิฟวิ่ง” ที่ออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า พร้อมเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัย และความปลอดภัยแบบ Triple security ย่อมเป็นจุดขายที่เหนือกว่า และมั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม ทั้งจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ย่านตะวันตกตลอดจนผู้ที่ทำงานอยู่ในเขตกรุงเทพฯ โดยได้เริ่มพรีเซล 2 โครงการแรกไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา คือ โครงการชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่ สามารถสร้างยอดขายได้ 64% ของโซนที่เปิดขาย และโครงการชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่ ที่เปิดขายเฟสแรก 36 ยูนิต มียอดขายแล้ว 58%”
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง 2560 นอกจากบริษัทฯ ได้นำเสนอโครงการในโซนตะวันตกแล้ว ยังวางแผนพัฒนาโครงการในโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งรวมมูลค่าโครงการในครึ่งปีหลังอยู่ที่ 890 ล้านบาท รวม 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการชวนชื่นไพร์ม กรุงเทพ-ปทุม (บ้านเดี่ยว) มูลค่ารวม 270 ล้านบาท และโครงการชวนชื่นพาร์ค อ่อนนุช-วงแหวน (บ้านแฝด) มูลค่ารวม 620 ล้านบาท
“กลยุทธ์หลักของบริษัทฯ คือ การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยพื้นฐานการบริหารต้นทุนที่ดี เพื่อให้สามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนทำเลศักยภาพ ที่มีคุณภาพ คุ้มค่า คุ้มราคา พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยในปี 2560 บริษัทฯ เน้นการบริหารสต๊อกบ้าน ในลักษณะบ้านพร้อมขาย และโอน จึงทำให้สามารถขาย และโอนได้เร็วขึ้น อีกทั้งมีการให้ลูกค้ายื่นขออนุมัติสินเชื่อเบื้องต้น (Pre-approved) เพื่อตรวจสอบเครดิตก่อนทำการจอง ช่วยลดความเสี่ยงในการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารอีกด้วย”
สำหรับเป้าการขายในปีนี้ เฉพาะในส่วนของโครงการแนวราบ คาดว่าจะเติบโต 10-15% เมื่อเทียบกับปี 59 ที่ทำยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท และหากรวมโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว คาดว่ายอดขายจะทำได้ 4,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมรายได้จากค่าเช่า และค่าบริการ
ทั้งนี้ เพื่อฉลองการเปิด 2 โครงการใหม่อย่างเป็นทางการ บริษัทฯ จึงได้จัดโปรโมชันพิเศษช่วงพรีเซล ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ ฟรีธรรมเนียมติดตั้งค่ามิเตอร์น้ำไฟ ยิ่งไปกว่านั้น ทางโครงการยังติดตั้งสัญญาณกันขโมยภายในบ้านทุกหลัง ด้วยระบบ Magnetic & Motion Sensor และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง AIS Fiber Optic ด้วยความแรง 50/10 Mbps ฟรี 1 ปีเต็ม พร้อมรับ AIS PLAYBOX กล่องทีวีอินเทอร์เน็ตความบันเทิงระดับพรีเมียมอย่างครบครัน และพิเศษสุดกับการรับชมหนัง และซีรีส์ฮอลลีวู้ด จาก HOOQ ฟรี 1 ปีเต็ม อีกด้วย.