อาซีฟา เดินหน้าเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐ และเอกชนอย่างต่อเนื่องสะสมงานในมือเพิ่ม หลังตุน Backlog แล้วราว 1,800 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ 70% พร้อมทั้งเร่งขยายงานบริการด้านวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องและงานบริการหลังการขาย “ไพบูลย์ อังคณากรกุล” เอ็มดีมั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมายที่วางไว้
นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ระบบกระจาย ส่งจ่าย และบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ว่า บริษัทฯ มีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูล และเสนองานทั้งภาครัฐ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) ให้มากขึ้น
โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ประมาณ 10% และมีสัดส่วนงานของภาคเอกชน 70-80% และงานภาครัฐ 20-30% ทั้งนี้ เชื่อว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์กระจาย และส่งจ่ายไฟฟ้า และงานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560 ราว 70% และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2561 ซึ่งจะสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทฯ ให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คาดว่ารายได้ปีนี้เติบโต 10-15% ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
“ASEFA มีโครงการเด่น ๆในปี 2560 หลายโครงการ โดยมองว่าอุตสาหกรรมด้านระบบกระจาย ส่งจ่าย และบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า จะโตอย่างต่อเนื่องจากงานของโครงการหลายโครงการทั้งจากภาคเอกชน และภาครัฐ เช่น โครงการนำสายไฟฟ้าลงดิน, โครงการสนามบินสุวรรณภูมิเฟสต่างๆ โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โครงการดาต้าเซนเตอร์ พลังงานทดแทน ระบบควบคุมอัตโนมัติ และอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการดำเนินงานของบริษัทให้เติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรม” นายไพบูลย์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายงานบริการด้านวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง การบริการหลังการขาย การดูแลบำรุงรักษาอย่างครบวงจร การลดต้นทุนโดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับนโยบายและการขยายธุรกิจดังกล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดปี 2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 288.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.41% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 206.75 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นจำนวน 703.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133.90 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 25.14% เพิ่มขึ้น 2.79% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต ต้นทุนงานโครงการ และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย และบริการอยู่ที่ 2,799.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250.03 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.81.% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายจากการขาย และบริการ อยู่ที่ 2,549.60 ล้านบาท