“กรมสรรพสามิต” ขอ “กพร.” อนุมัติจัดตั้งสำนักวิเคราะห์ราคาขายปลีก แนะนำรองรับ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันข้างหน้า ส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาราคาขายปลีกแนะนำ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยกร่างกฎกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอต่อ ครม.
นายสมชาย พูนสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงแนวทางในการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และกำลังจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วันว่า ในกฎหมายดังกล่าวได้ให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพสามิตในการกำหนดราคาขายปลีกแนะนำ โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีสรรพสามิต ส่วนการพิจารณาราคาแนะนำจะกำหนดจากราคาขาย หรือการนำเข้านั้น จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่จะกำหนดในกฎกระทรวงการคลัง ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการยกร่างเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
โดยกรมสรรพสามิตจะทำการตรวจสอบราคาขายปลีกแนะนำจากแหล่งซื้อขายในท้องตลาดที่มีการขายสินค้าเป็นจำนวนมากๆ เช่น โมเดิร์นเทรด เพื่อใช้เป็นตัวอ้างอิงราคาค้าปลีก โดยการทำราคาแนะนำตามกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่นั้น ได้กำหนดให้กรมสรรพสามิตต้องพิจารณาถึงต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ และกำไรมาตรฐาน ซึ่งจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาขายปลีกที่คิดกับผู้บริโภคทั่วไปรายสุดท้ายในตลาดปกติ
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพสามิตได้เสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.) เพื่อขอจัดตั้งสำนักวิเคราะห์ราคาขายปลีกแนะนำแล้ว และในระหว่างที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจาก กพร. กรมสรรพสามิตจะดำเนินการจัดตั้งกลุ่มงานฯ เพื่อดูแลงานด้านนี้เป็นการเฉพาะไปก่อน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 ราชกิจจานุเษกษา ประกาศพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยกฎหมายฉบับใหม่นี้เป็นการรวบรวมกฎหมาย 7 ฉบับเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต และกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน และไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
นายสมชาย ย้ำด้วยว่า พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิต และแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใสเป็นสากล และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้กฎหมายภาษีสรรพสามิตสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการบริหารการจัดเก็บภาษีได้ทั้งระบบ และทำให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยหลังจากนี้กรมสรรพสามิตต้องออกกฎหมายลำดับรองประมาณ 80 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่บท โดยเฉพาะอัตราการจัดเก็บภาษีสินค้า และบริการต่างๆ เนื่องจากกฎหมายแม่บทที่ออกมานั้น เป็นการปรับขยายเพดานอัตราภาษีสรรพสามิตให้สูงขึ้น ซึ่งเพดานใหม่ดังกล่าวจะใช้ไปจนถึง พ.ศ.2580 สำหรับอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงนั้น จะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายลำดับรองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงจะลดจากเพดานลงมา เนื่องจากเพดานในกฎหมายนั้น กำหนดไว้สูง เนื่องจากมองถึงอนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้า สำหรับการกำหนดอัตราจัดเก็บภาษีจริงนั้นในหลักการจะอ้างอิงจากภาระภาษีที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายภาษีฉบับนี้แล้วนั้น ภาระภาษีของผู้ประกอบการจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หลังจากนั้น จะเป็นเช่นไรให้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลในแต่ละยุคสมัย เนื่องจากความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ นอกจากรัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องฐานการคำนวณภาษีใหม่ โดยให้เปลี่ยนมาใช้เป็นราคาขายปลีกแนะนำเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการ คือ การให้คำนวณภาษีได้จากทั้งฝั่งมูลค่า และฝั่งปริมาณ จากกฎหมายเดิมเคยกำหนดให้คำนวณภาษีจากฝั่งมูลค่า หรือปริมาณอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กรณีบุหรี่ที่นอกจากคิดภาษีจากมูลค่าได้แล้ว ในกรณีที่มีการลดราคาขายปลีกให้ต่ำลงมา กรมสรรพสามิตก็ยังสามารถเก็บภาษีจากฝั่งปริมาณต่อม้วนได้อีกด้วย หรือในกรณีของสถานอาบ อบ และนวดตัว จากปัจจุบัน กรมสรรพสามิตเก็บภาษีฝั่งมูลค่า แต่ในกฎหมายใหม่สามารถเก็บภาษีฝั่งปริมาณได้ หรือจะคิดภาษีต่อรอบการใช้บริการก็ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะประชุมชี้แจงกับภาคเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึง หอการค้าต่างประเทศในไทย และจะจัดพิมพ์พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ทั้งฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แจกจ่ายให้แก่ภาคเอกชน และผู้ที่สนใจ รวมทั้งจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตดังกล่าว เพื่อชี้แจง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ต่อไป
นายสมชาย พูนสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงแนวทางในการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และกำลังจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วันว่า ในกฎหมายดังกล่าวได้ให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพสามิตในการกำหนดราคาขายปลีกแนะนำ โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีสรรพสามิต ส่วนการพิจารณาราคาแนะนำจะกำหนดจากราคาขาย หรือการนำเข้านั้น จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่จะกำหนดในกฎกระทรวงการคลัง ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการยกร่างเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
โดยกรมสรรพสามิตจะทำการตรวจสอบราคาขายปลีกแนะนำจากแหล่งซื้อขายในท้องตลาดที่มีการขายสินค้าเป็นจำนวนมากๆ เช่น โมเดิร์นเทรด เพื่อใช้เป็นตัวอ้างอิงราคาค้าปลีก โดยการทำราคาแนะนำตามกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่นั้น ได้กำหนดให้กรมสรรพสามิตต้องพิจารณาถึงต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ และกำไรมาตรฐาน ซึ่งจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาขายปลีกที่คิดกับผู้บริโภคทั่วไปรายสุดท้ายในตลาดปกติ
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพสามิตได้เสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.) เพื่อขอจัดตั้งสำนักวิเคราะห์ราคาขายปลีกแนะนำแล้ว และในระหว่างที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจาก กพร. กรมสรรพสามิตจะดำเนินการจัดตั้งกลุ่มงานฯ เพื่อดูแลงานด้านนี้เป็นการเฉพาะไปก่อน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 ราชกิจจานุเษกษา ประกาศพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยกฎหมายฉบับใหม่นี้เป็นการรวบรวมกฎหมาย 7 ฉบับเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต และกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน และไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
นายสมชาย ย้ำด้วยว่า พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิต และแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใสเป็นสากล และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้กฎหมายภาษีสรรพสามิตสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการบริหารการจัดเก็บภาษีได้ทั้งระบบ และทำให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยหลังจากนี้กรมสรรพสามิตต้องออกกฎหมายลำดับรองประมาณ 80 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่บท โดยเฉพาะอัตราการจัดเก็บภาษีสินค้า และบริการต่างๆ เนื่องจากกฎหมายแม่บทที่ออกมานั้น เป็นการปรับขยายเพดานอัตราภาษีสรรพสามิตให้สูงขึ้น ซึ่งเพดานใหม่ดังกล่าวจะใช้ไปจนถึง พ.ศ.2580 สำหรับอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงนั้น จะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายลำดับรองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงจะลดจากเพดานลงมา เนื่องจากเพดานในกฎหมายนั้น กำหนดไว้สูง เนื่องจากมองถึงอนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้า สำหรับการกำหนดอัตราจัดเก็บภาษีจริงนั้นในหลักการจะอ้างอิงจากภาระภาษีที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
นายสมชาย กล่าวต่อไปว่า เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายภาษีฉบับนี้แล้วนั้น ภาระภาษีของผู้ประกอบการจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หลังจากนั้น จะเป็นเช่นไรให้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลในแต่ละยุคสมัย เนื่องจากความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ นอกจากรัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องฐานการคำนวณภาษีใหม่ โดยให้เปลี่ยนมาใช้เป็นราคาขายปลีกแนะนำเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการ คือ การให้คำนวณภาษีได้จากทั้งฝั่งมูลค่า และฝั่งปริมาณ จากกฎหมายเดิมเคยกำหนดให้คำนวณภาษีจากฝั่งมูลค่า หรือปริมาณอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กรณีบุหรี่ที่นอกจากคิดภาษีจากมูลค่าได้แล้ว ในกรณีที่มีการลดราคาขายปลีกให้ต่ำลงมา กรมสรรพสามิตก็ยังสามารถเก็บภาษีจากฝั่งปริมาณต่อม้วนได้อีกด้วย หรือในกรณีของสถานอาบ อบ และนวดตัว จากปัจจุบัน กรมสรรพสามิตเก็บภาษีฝั่งมูลค่า แต่ในกฎหมายใหม่สามารถเก็บภาษีฝั่งปริมาณได้ หรือจะคิดภาษีต่อรอบการใช้บริการก็ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะประชุมชี้แจงกับภาคเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึง หอการค้าต่างประเทศในไทย และจะจัดพิมพ์พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ทั้งฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แจกจ่ายให้แก่ภาคเอกชน และผู้ที่สนใจ รวมทั้งจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตดังกล่าว เพื่อชี้แจง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ต่อไป