xs
xsm
sm
md
lg

พลัสฯ เผยดีมานด์ ตปท.ดันคอนโดฟื้นระบุอัตราการขยายตัวดีมานด์ต่างชาติช่วง 5 ปี โตกว่า 700%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พลัสฯ ผลวิจัยตลาดคอนโด พบช่วง 5 ปีผ่านมา ดีมานด์ต่างชาติในตลาดห้องชุดขยายตัวกว่า 700% ระบุสัญญาณตลาดคอนโดเริ่มฟื้นตัว ดีมานด์ต่างชาติหนุนตลาดปี 60 ผู้ประกอบการหันปรับกลยุทธ์โรดโชว์ เจาะกลุ่มต่างชาติ ชี้ข้อได้เปรียบตลาดอสังหาฯ ไทยเทียบตลาดอาเซียน ไทยมีความน่าสนใจ ราคาอยู่ในระดับต่ำ มีผลตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน เป็นศูนย์กลางอาเซียน มีบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐานสากล ง่ายต่อการตัดสินใจลงทุน

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ดีมานด์การซื้อห้องชุดของกลุ่มชาวต่างชาติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปริมาณการซื้อห้องชุดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ทั้งกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัย และซื้อเพื่อลงทุนปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย ซึ่งจากการเก็บข้อมูลของพลัสฯ ตั้งแต่ปี 55-60 ดีมานด์ต่างชาติขยายตัวถึงกว่า 700% ซึ่งดีมานด์ ส่วนใหญ่ซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัยเองถึง 72% และซื้อเพื่อลงทุน 28%

ส่วนการซื้อเพื่อการปล่อยเช่ามี 21% และขายต่อ 7% โดยดีมานด์ในกรุงเทพฯ มีสัดส่วนการขายมากที่สุด (58%) รองลงมาเป็นพื้นที่ติดทะเลอย่างภูเก็ต ชลบุรี หัวหิน (16%, 13%, และ 6% ตามลำดับ) สุดท้าย คือ พื้นที่ท่องเที่ยวในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ และแหล่งท่องเที่ยวอย่างพัทยา (เท่ากันที่ 2%) โดยผู้ซื้อ 3 อันดับแรก คือ เอเชีย (58%) ยุโรป (29%) และอเมริกา (7%)

สำหรับรูปแบบคอนโดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ 1 ห้องนอน (51%) รองลงมาเป็นรูปแบบ 2 ห้องนอน (30%) และรูปแบบสตูดิโอ (17%) นอกนั้น เป็นรูปแบบ 3 ห้องนอน และรูปแบบเพนต์เฮาส์ ระดับราคาที่นิยมที่สุด คือ ราคา 5-7 ล้านบาท 31% ตามด้วย 3-5 ล้าน และ 7-10 ล้าน เท่ากันที่ 21% ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ ดีมานด์ชาวต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย

“ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างโครงการของแสนสิริ ที่นำออกไปขายต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน และไต้หวัน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าถึง 82% ขายต่อ 4% และอีก 14% เป็นการซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับอยู่อาศัยเอง สำหรับประเภทห้อง พบว่า รูปแบบ 1 ห้องนอนได้รับความสนใจสูงสุด (71%) ถัดมา คือ 2 ห้องนอน (16%) และประเภทสตูดิโอ (11%) ระดับราคาที่นิยมที่สุด คือ ช่วงราคา 4-6 ล้านบาท (55%) รองลงมา คือ 6-8 ล้านบาท (35%) ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย คือ ฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน (83%) ที่เหลือ คือ ยุโรป (11%)”

นายอนุกูล กล่าวว่า จากการขยายตัวของดีมานด์ต่างชาติดังกล่าวถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดคอนโดเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ครึ่งหลังปี 59 มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน แม้ว่าจะยังเป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่ผู้ประกอบการเริ่มปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยเน้นตลาดระดับกลาง และบนมากขึ้น

อีกทั้งผู้ประกอบการได้ขยายตลาดไปต่างประเทศเพื่อดึงกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้า และนักลงทุนชาวต่างชาติที่ปัจจุบันให้ความสนใจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยค่อนข้างมาก เพราะมีข้อได้เปรียบในภูมิภาคหลายประการ นอกจากจะมีทำเลที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางของแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ยังเป็นแหล่งการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการเปิดขายมากที่สุดในกลุ่มอาเซียนเขตลุ่มแม่น้ำโขง (CLMV) อีกทั้งราคาเฉลี่ยทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว และห้องชุดพักอาศัยยังถูกกว่าหลายประเทศด้วย โดยข้อมูลจาก Global Property Guide Research ระบุว่า ราคาคอนโดโดยเฉลี่ยต่อตารางเมตรในทำเลพื้นที่เศรษฐกิจชั้นในของไทยมีราคาต่ำกว่าฮ่องกงกว่า 5 เท่า และสิงคโปร์กว่า 2 เท่าตัว จึงทำให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นไปได้อีกมาก นอกจากนี้ศักภาพของทำเลที่อยู่บริเวณรถไฟฟ้าและการลงทุนเส้นทางรถไฟฟ้าใหม่ๆ ในไทยยังเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอนาคต

“ในช่วงปี 59 ที่ผ่านมา จึงเห็นผู้ประกอบการไทยที่เริ่มปรับตัวโดยการออกไปรุกตลาดต่างชาติอย่างจริงจัง อาทิ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด ไปโรดโชว์ที่จีน รวมถึงบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ก็รุกตลาดต่างประเทศที่ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยได้เริ่มบุกตลาดต่างประเทศตั้งแต่มี 2555 เป็นต้นมา โดยบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นับเป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกๆ ที่ได้ไปรุกตลาดต่างชาติ และมีจำนวนยูนิตที่ออกไปขายในต่างประเทศสูงเป็นอันดับต้นๆ ในตลาดทั้งการทำโรดโชว์ในฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน รวมถึงการเปิดจองคอนโดมิเนียมโครงการต่างๆ ที่ต่างประเทศพร้อมกับประเทศไทย ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น”

ปัจจัยที่ทำให้คอนโดในไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เป็นที่สนใจของต่างชาติทั้งแง่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และซื้อเพื่อการลงทุน เป็นเพราะว่ามีราคาที่ถูกกว่าฮ่องกง หรือสิงคโปร์อยู่มาก และมีผลตอบแทนการปล่อยเช่า และขายต่อที่ดี รวมถึงภาพลักษณ์น่าความเชื่อถือของผู้ประกอบการไทย และการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ มีความพร้อมที่จะเข้ามาดูแล และอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนในการบริหาร และจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรด้วยความเชี่ยวชาญ ทั้งในแง่ของการลงทุน การช่วยหาผู้เช่า และการันตีผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ รวมไปถึงความพร้อมด้านบุคลากรที่จะช่วยดูแลหลังการขาย

“ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการด้านการบริหารโครงการต้องปรับตัวเพื่อรองรับอุปสงค์ต่างชาติเหล่านี้อย่างมาก ทั้งการดูแลลูกค้า ความสามารถทางภาษาของเจ้าหน้าที่สามารถสื่อสารได้มากกว่าภาษาอังกฤษ อาทิ ภาษาจีน เป็นต้น พร้อมทั้งให้บริการด้วยความเข้าใจวัฒนธรรมในแต่ละเชื้อชาติ ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันพร้อมก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญไปสู่อุปสงค์ต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ เกิดการเติบโต และขับเคลื่อนต่อไปได้ในอนาคต” นายอนุกูล กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น