“มิทซึจิ” คุยโว! ฐานเงินสดที่เป็นทุนหมุนเวียนในบริษัทแน่นปึ๊กกว่า 2,500 ล้านบาท ไม่หวั่นว่าจะเกิดหนี้สูญหากปล่อยให้ผู้ขอกู้ พร้อมแปลงสภาพหุ้นกู้ และ Exercise Warrants ให้ “เจทรัสต์” คาดได้เงินเพิ่มอีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมทุน
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการ บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL กล่าวว่า ทางบริษัทเตรียมที่จะทบทวนการขอเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติม โดยเฉพาะบริษัทผู้ขอกู้ในประเทศไซปรัส ขณะที่ในส่วนของบริษัทผู้ที่ขอกู้จากสิงคโปร์นั้น มีบริษัทฯ แม่ ซึ่งประกอบธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ค้ำประกันการันตี ซึ่งมองว่าไม่มีความจำเป็นในการเข้าไปเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติมแต่อย่างใด
“มูลค่าหลักทรัพย์ของผู้ขอกู้ในประเทศสิงคโปร์ จากอยู่ที่ 230% จากข้อมูลทางบัญชี ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ของผู้ขอกู้ในประเทศไซปรัสนั้น ของเดิมอยู่ที่ 103% และมีในส่วนของหลักทรัพย์เพิ่มเติมเข้ามาอีก 80% ซึ่งถือว่ามีปริมาณหลักทรัพย์มากเพียงพอกว่าวงเงินกู้ จึงไม่ต้องตั้งสำรองหนี้ที่สงสัยว่าจะสูญ”
อย่างไรก็ตาม สถานะการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบันนี้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนที่เป็นเงินสดกว่า 2,500 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทคาดว่า ภายในเร็วๆ นี้จะมีเงินทุนจากพันธมิตร คือ เจทรัสต์ ในประเทศญี่ปุ่น ที่จะเข้ามาลงทุนร่วมกันอีกกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินที่จะได้จากเจทรัสต์ จำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ จะมาจากหุ้นกู้แปลงสภาพที่ทางบริษัทฯ ออกให้แก่ทางเจทรัสต์
“ปัจจุบัน เจทรัสต์ถือครองหุ้นของกรุ๊ปลีส ที่ 6.5% ซึ่งหลังจากที่ได้มีการแปลงสภาพหุ้นกู้ และแปลงสิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิการถือครองหุ้น (Exercise Warrants) ด้วย ก็จะทำให้ทางเจทรัสต์ เข้ามาถือหุ้นในบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปที่ประมาณ 10%”
ขณะที่การปล่อยกู้ให้กับผู้กู้กลุ่มไซปรัส และผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์นั้น เป็นธุรกิจการให้กู้ยืมของ Group Lease Holdings Pte. Ltd. (GLH) เป็นไปตามธุรกิจปกติของ GLH ตามที่ปรากฏในหนังสือบริคณห์สนธิของ GLH และกฎหมายในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ GLH จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นกำหนดให้ทำได้ ทั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักทางธุรกิจของ GLH คือ การถือหุ้นในบริษัทย่อยอื่นๆ และการให้เงินกู้ยืม โดยธุรกิจการให้เงินกู้ยืมของ GLH มุ่งเน้นการให้กู้ยืมเงินแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และพันธมิตรทางธุรกิจหลัก
ทั้งนี้ การปล่อยกู้แก่ทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว ผู้บริหารมีความเห็นว่า ไม่ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มข้างต้น และผู้สอบบัญชีได้พิจารณาว่า เงินกู้ยืมดังกล่าวเป็นลูกหนี้ปกติเช่นกัน และไม่ได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
สำหรับเงินกู้ยืมดังกล่าว GLH มุ่งเน้นการให้กู้ยืมเงินแก่ SME และพันธมิตรทางธุรกิจเป็นหลัก และ GLH ได้ใช้ความระมัดระวังในการให้กู้ยืมแก่กลุ่มผู้กู้ต่างๆ ซึ่งต้องมีโอกาสทางธุรกิจที่สอดคล้องกับธุรกิจของบริษัท และ GLH ในปัจจุบัน GLH จึงยังไม่มีการกำหนดนโยบายการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และมาตรการดำเนินการในกรณีดังกล่าว
ส่วนเงินที่ GLH ให้กู้ยืม แต่จากนี้ต่อไป GLH จะดูแล และตรวจสอบเงินกู้ยืมแต่ละรายอย่างใกล้ชิด และจะร่วมทำงานกับผู้สอบบัญชี เพื่อพิจารณาว่า มีความจำเป็นในการกำหนดการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญหรือไม่ และจะกำหนดการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เหมาะสมสำหรับเงินกู้ยืมที่เกี่ยวข้องต่อไป