“GL” ไม่หวั่นหุ้นถูกถล่มขาย “ซีอีโอ” ลั่นเดินหน้าขยายธุรกิจไปอินโดฯ เพราะถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 250 ล้านคน มั่นใจผลงานปีนี้โตก้าวกระโดดตามเป้าหมาย
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ระบุว่า ปัจจัยพื้นฐานบริษัทฯ ไม่เปลี่ยน ยังเดินหน้าแม้ว่าหุ้นจะถูกขายออกมาอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา จากความกังวลการปล่อยกู้ให้กับ 2 กลุ่มธุรกิจในสิงคโปร์ และไซปรัส แต่บริษัทจะยังเดินหน้ารุกขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ โดยล่าสุด เตรียมขยายธุรกิจในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 250 ล้านคน
“ปัจจัยพื้นฐานทั้งหมดของ GL ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทฯ ยังเดินหน้ารุกขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน และคาดว่าผลประกอบการจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดดตามที่ได้วางเป้าไว้เดิม” นายมิทซึจิ กล่าว
พร้อมกันนี้ GL ยังได้ชี้แจงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เช้านี้ที่ระบุว่า GL ขาดทุนจากการไปลงทุนในประเทศศรีลังกาว่า ข้อเท็จจริง คือ ในช่วงปลายปี 59 บริษัทได้เข้าถือหุ้นจำนวน 29.99% ในบริษัท Commercial Credit & Finance (CCF) ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ที 3 มีชื่อเสียง และมีผลประกอบการที่ดีมาก จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศศรีลังกา
ทั้งนี้ CCF มีกำไรสุทธิ 260.2 ล้านบาท ในไตรมาส 4/59 ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นถึง 84% หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาของปีก่อนหน้า โดย GL ได้เริ่มบันทึกส่วนแบ่งกำไรจาก CCF ตั้งแต่ไตรมาส 4/59 และคาดว่า ส่วนแบ่งกำไรจาก CCF จะเพิ่มสูงมากขึ้นในอนาคต เนื่องจาก CCF เป็นบริษัทที่มีการบริหารดี และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ข่าวที่ระบุว่า GL ขาดทุนจากการลงทุนดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่มีมูลความจริง ในทางตรงกันข้ามการลงทุนใน CCF ถือเป็นการลงทุนที่สร้างผลประโยชน์ และผลกำไรอย่างมากให้กับผลประกอบการโดยรวมของ GL
อนึ่ง ราคาหุ้น GL ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้จากกรณีข้อมูลที่ไม่ชัดเจนในข้อสังเกตประกอบงบการเงินปี 2559 ของผู้สอบบัญชี ประกอบกับข่าวลือในเชิงลบต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับเงินให้กู้ยืม และดอกเบี้ยค้างรับ จำนวน 3,477 ล้านบาท ซึ่งบริษัทย่อยในสิงคโปร์ คือ GL Holdings (GLH) ได้ให้บริษัทอื่นอีก 2 กลุ่มในไซปรัส และสิงคโปร์ กู้ยืมต่อ ซึ่งผู้กู้เป็นผู้ถือหุ้นใน GL ด้วย ได้นำหุ้น GL มาเป็นส่วนหนึ่งของหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ยืมดังกล่าว แต่วานนี้ (8 มี.ค.) บริษัทได้ชี้แจงรายละเอียดไปแล้ว