“ทองคำ” ระยะสั้นยังเป็นแนวโน้มเชิงบวก หลังนักลงทุนกังวลต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจน ประเมินหากขยับไม่ผ่าน 1,280 เหรียญ/ออนซ์ อาจจำเป็นต้องแบ่งทองคำออกขายเพื่อลดความเสี่ยง
“วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำ ว่า ที่ผ่านมาราคามีการทะยานขึ้น และสร้างระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ตามทิศทางผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) บ่งชี้ว่า ผู้กำหนดนโยบายการเงินยังคงกังวลจากความไม่แน่นอนของนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมประจำเดือนมีนาคมจะยังไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงสนับสนุนเมื่อรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ มีการส่งสัญญาณว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ “ทรัมป์” ที่จะเปิดเผยในระยะถัดไป อาจจะส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ไม่มากนัก ซึ่งได้สร้างความผิดหวังแก่นักลงทุน จึงมีการโยกเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าหาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตา คือ การแถลงของ “ทรัมป์” ที่อาจมีการเปิดเผยนโยบายในการปฏิรูปเศรษฐกิจ และระบบภาษี ที่อาจมีการปรับลดในมาตรการภาษีต่างๆ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างคารดการณ์ว่ามาตรการดังกล่าวอาจยังไม่มีความชัดเจนเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ และมีความชัดเจนออกมาจะส่งผลให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยถูกแรงขายทำกำไรออกมา รวมไปถึงตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ในฝั่งสหรัฐฯ เช่น การประมาณการตัวเลขจีดีพีประจำไตรมาส 4/59 ซึ่งที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากขึ้น และสร้างแรงขายในฝั่งทองคำมาต่อเนื่อง
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากราคาทองคำมีการดีดตัวขึ้นมากค่อนข้างมาก และช่วงที่ผ่านมา เมื่อราคามีการดีดตัวจะมีแรงเทขายในทองคำสลับออกมา แนะนำให้จับตากรอบแนวต้าน 1,263-1,280 เหรียญ/ออนซ์ หากการขยับขึ้นไม่ผ่านแนวต้านโซนดังกล่าวอาจต้องทยอยนำทองคำที่ถืออยู่ออกขายเพื่อลดความเสี่ยง และหากราคามีการอ่อนตัวลงให้จับตาโซนแนวรับ 1,237-1,230 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งหากราคาทองคำอ่อนตัวลง และหลุดโซนดังกล่าวยังแนะนำเข้าซื้อเพื่อรอการเก็งกำไรจากราคาที่คาดว่าจะมีการดีดตัวหรือรีบาวนด์เกิดขึ้น โดยแนวโน้มในระะยสั้นของราคาทองคำยังคงเป็นบวก