xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยปิดลบ 3.74 จุด โบรกฯ แนะจับตาผลประชุมเฟด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หุ้นไทยปิดตลาดแกว่งลบต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ก่อนปิดตลาดลดลง -3.74 จุด ซื้อขายสุทธิเบาบาง เพียง 34,048.34 ล้านบาท โบรกฯ แนะจับตาผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย กดดันเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ประเมินกรอบ Set Index แกว่งแคบ 1,530-1,590 จุด

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 03 มีนาคม 2560 ที่ 1,566.20 จุด ลดลง -3.74 จุด หรือ -0.24% ระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,569.74 จุด และปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,564.16 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 34,048.34 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น จำนวน 408 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง 374 หลักทรัพย์ ลดลง 743 หลักทรัพย์

ขณะที่ในส่วนของปริมาณการซื้อขายจำแนกประเภทพบว่า นักลงทุนสถาบันมีการซื้อสุทธิ 962.15 ล้านบาท บัญชี บล.ซื้อสุทธิ 618.57 ล้านบาท และลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 492.05 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า -2,072.77 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

1.ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ปิดที่ 65.75 บาท ปรับตัวลดลง -1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,500.45 ล้านบาท

2.บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ปิดที่ 6.60 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,476.92 ล้านบาท

3.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ปิดที่ 38.25 บาท ปรับตัวลดลง -0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,438.70 ล้านบาท

4.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ปิดที่ 396.00 บาท ปรับตัวลดลง -3.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,410.04 ล้านบาท

5.บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ปิดที่ 52.75 บาท ปรับตัวลดลง -4.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,044.23 ล้านบาท

ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,219.06 จุด ปรับตัวลดลง -6.32 จุด หรือ -0.28% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 983.41 จุด ปรับตัวลดลง -2.52 จุด หรือ -0.26% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 615.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.06 จุด หรือ 0.01%

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวผันผวนในช่วง 1,530-1,590 จุด โดยประเด็นหลักที่กดดันตลาด ได้แก่ กระแสเม็ดเงินต่างชาติ (Fund flow) ในตลาดพันธบัตรที่เริ่มทยอยขายออกจากตลาดหุ้นไทย และนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณขายสุทธิทั้งในตราสารหนี้ระยะสั้น และยาว หลังจากที่มีการซื้อสุทธิมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้

อีกทั้งสัญญาณการปรับลดประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ในบางอุตสาหกรรมเริ่มมีความชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ในประเทศ หลังแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐชะลอตัว เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าแพงขึ้นโดยอัตโนมัติในทันที

นอกจากนี้ ความไม่แนอนจากปัจจัยทางการเมืองในทวีปยุโรป ยังคงสร้างความกังวลต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการลงมติของรัฐสภาอังกฤษต่อร่างกฎหมายการแยกตัวออกจากยุโรป (Brexit) ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบ จะส่งผลทำให้นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน เพื่อเริ่มต้นกระบวนการ Brexit ทันที

นอกจากนี้ ในส่วนของประเทศฝรั่งเศส ที่จะมีการประเมินผลสำรวจความนิยมของนางมารีน เลอ แปน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฝ่ายขวาจัด ที่มีจุดยืนในการนำฝรั่งเศสแยกตัวจากสหภาพยุโรป

“มองว่าตลาดหุ้นในช่วงครึ่งเดือนแรกจะแกว่งตัวผันผวนตามความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงกลางเดือน หาก Fed มีมติไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคม ตามคาด ประเมินว่าจะเป็นความเชื่อมั่นการลงทุนเชิงบวกที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ หากในช่วงครึ่งเดือนแรกที่ดัชนี SET Index ปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับที่ 1,530-1,550 จุด ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสมในการทยอยซื้อสะสมได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น