xs
xsm
sm
md
lg

“ไทยออยล์” คาด EBITDA ในปีนี้ทำได้สูงกว่าปีก่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ระบุปี 2560 TOP จะรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP 240 เมกะวัตต์แบบเต็มปี ซึ่งการรับรู้เต็มปีก็จะทำให้ EBITDA ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากช่วงเดือน มิ.ย.59 TOP เริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ทำให้บริษัทฯ มี EBITDA ประมาณ 900 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปี 2560 นางสาวภัทรลดา คาดว่า TOP จะมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อม หรือ EBITDA ของกลุ่มไทยออยล์ในปีนี้ โดยไม่รวมสต๊อกน้ำมัน จะทำได้สูงกว่าปีก่อนที่มี EBITDA ราว 25,000 ล้านบาท จาก EBITDA รวม 32,675 ล้านบาทในปี 2559

โดยปัจจัยสนับสนุนหลัก มาจากความต้องการน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่กำลังการผลิตส่วนเพิ่มมีค่อนข้างน้อย โดยในปีนี้ คาดว่าดีมานด์ส่วนเพิ่มน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะสนับสนุนให้ค่าการกลั่น (GRM) ของปีนี้ มีโอกาสปรับตัวสูงกว่าปีก่อนที่ 5.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันของกลุ่ม ปตท. และไทยออยล์ ปีนี้ยังมองว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 55-58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยที่ 52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในปีที่ผ่านมา

ผู้บริหาร “ไทยออยล์” เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ Clean Fuel Project (CFP) ที่ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการกลั่นเสริมศักยภาพในการแข่งขัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 270,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน คาดว่าจะสรุป และนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการได้ในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า ซึ่งหากคณะกรรมการอนุมัติจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที

บล.กสิกรไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ประกอบด้วย PTTEP, BANPU และ PTT โดยให้น้ำหนักมากกว่าตลาดสำหรับกลุ่มพลังงาน แต่น้อยกว่าตลาดสำหรับกลุ่มปิโตรเคมี จากมุมมองที่ว่า บริษัทเหล่านี้จะสามารถสร้างการเติบโตของผลประกอบการในไตรมาส 1/60 ในเชิง QoQ อีกทั้งผลประกอบการทั้งปี 2560 น่าจะยังเติบโตในเชิง YoY ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 12-13% QoQ ราคาถ่านหินที่คงอยู่ในระดับสูง และราคาก๊าซที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ น่าที่จะผลักดันกำไรของบริษัทเหล่านี้ให้สามารถเติบโตต่อไปได้

ขณะที่นักลงทุนอาจถือหุ้นต่อไปเพื่อรอทำกำไรในหุ้น PTTGC, TOP และ SCC เนื่องจากบริษัทเหล่านี้จะได้รับผลบวกจากส่วนต่างราคาสารอะโรเมติกส์ และบิวทาเดอีน ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นผลของการมีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงงานเป็นจำนวนมาก การเลื่อนการเปิดดำเนินการของโรงงานอะโรเมติกส์ใหม่ขนาดใหญ่ รวมถึงราคายางธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า กำไรช่วงสั้นของ BCP, SPRC, IVL และ IRPC จะไม่น่าสนใจจากการที่ค่าการกลั่น และส่วนต่างราคา PET ทรงตัว กำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นใหญ่ของ IRPC ดังนั้น เราคงคำแนะนำให้น้ำหนักมากกว่าตลาดสำหรับกลุ่มพลังงาน แต่น้อยกว่าตลาดสำหรับกลุ่มปิโตรเคมี
กำลังโหลดความคิดเห็น