เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น คาดปิดหีบปีนี้มีอ้อยเข้าหีบถึง 8.5 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนถึง 1 ล้านตัน ด้วยคุณภาพอ้อยที่ดี ทำให้ได้ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยสูงขึ้นมาก คาดหลังปิดหีบจะได้น้ำตาลมากกว่าปีก่อนเกินกว่า 20% แถมยังส่งผลดีต่อเนื่องกับทุกสายธุรกิจ กอปรกับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกปีนี้ที่อยู่ในระดับเฉลี่ยสูงกว่า 20 เซ็นต์ต่อปอนด์ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 13-14 เซ็นต์ต่อปอนด์ จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานปี 2560 เติบโตแกร่ง
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า หลังจากหีบอ้อยในปีการผลิต 2559/60 จนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 พบว่า โรงงานน้ำตาลในกลุ่ม KTIS ทั้ง 3 โรง สามารถหีบอ้อยได้รวม 5.52 ล้านตัน ซึ่งสามารถผลิตเป็นน้ำตาลได้เฉลี่ย 101 กิโลกรัมต่อตันอ้อย เป็นผลผลิตน้ำตาลรวมประมาณ 5.57 ล้านกระสอบ หรือ 557 ล้านกิโลกรัม ซึ่งนับว่าคุณภาพอ้อยดีขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับการผลิตปีก่อนที่จำนวนอ้อยเข้าหีบ 5.52 ล้านตัน ผลิตเป็นน้ำตาลได้เพียง 4.82 ล้านกระสอบ หรือประมาณ 90 กก.ต่อตันอ้อยเท่านั้น
“เท่ากับว่าจากปริมาณอ้อยเข้าหีบเท่าๆ กันของปีที่แล้วกับปีนี้สามารถผลิตน้ำตาลได้เพิ่มขึ้นถึง 0.75 ล้านกระสอบ หรือเพิ่มขึ้น 15.6% ซึ่งคิดเป็นรายได้สูงขึ้นกว่า 1,000 ล้านบาท ในขณะที่คาดไว้ว่า เมื่อสิ้นสุดการหีบอ้อยทั้งหมด กลุ่ม KTIS จะมีอ้อยเข้าหีบในฤดูการผลิตนี้ถึง 8.5 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งได้อ้อยประมาณ 7.5 ล้านตัน คิดเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้น 1 ล้านตัน ดังนั้น ปริมาณน้ำตาลที่จะผลิตได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นในอัตราที่สูงด้วย” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าว
ทั้งนี้ ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยปีนี้ที่ทำได้เฉลี่ยประมาณ 101 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ยังเป็นเพียงขั้นต่ำ และจะดีขึ้นอีกในช่วงระยะเวลาหีบที่เหลือ ดังนั้น หากปีนี้ได้อ้อยตามเป้าหมาย 8.5 ล้านตัน ด้วยผลผลิตน้ำตาลมากกว่า 101 กก.ต่อตันอ้อย ก็จะได้น้ำตาลมากกว่า 8.6 ล้านกระสอบ ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วเกินกว่า 20%
นอกจากนี้ อ้อยซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตสินค้าของกลุ่ม KTIS ที่ดีขึ้นทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ จะส่งผลดีไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งเยื่อกระดาษ เอทานอล และไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงชีวมวล ก็จะได้ปริมาณมากขึ้นด้วย ขณะที่ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกก็ปรับตัวสูงขึ้น จากช่วงต้นปี 2559 เฉลี่ยอยู่ที่ 13-14 เซ็นต์ต่อปอนด์ มาที่ 20-21 เซ็นต์ต่อปอนด์ ทำให้มั่นใจว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2560 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับเหตุปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตอ้อยปีนี้สูงกว่าปีก่อน นอกจากเรื่องของปริมาณน้ำฝนที่มีมากกว่าปีก่อนแล้ว ยังเป็นเพราะความร่วมแรงร่วมใจกันเป็นอย่างดีของพนักงานทุกฝ่ายในกลุ่ม KTIS เพื่อแก้ไขปัญหาในปีที่ผ่านมา โดยฝ่ายไร่ซึ่งเกาะติดอยู่ในพื้นที่เพาะปลูกอ้อย จะลงไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ตั้งแต่เริ่มแรก เช่น ปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องพันธุ์อ้อย มาจนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ก็พยายามจะให้ได้อ้อยที่สะอาด และมีคุณภาพดีที่สุด ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยจึงสูงขึ้นมาก ขณะที่ฝ่ายโรงจักรก็ดูแลเครื่องจักรต่างๆ เป็นอย่างดี ทำให้เครื่องจักรทำงานได้เต็มศักยภาพ
“ด้วยความร่วมแรงร่วมใจ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาในปีที่ผ่านมา ของพนักงานทุกคน ทำให้การหีบอ้อยในฤดูการผลิตนี้สามารถทำได้ดีเกินคาด เช่น โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 55,000 ตันอ้อยต่อวัน และเราตั้งเป้าว่า จะต้องหีบอย่างราบรื่นให้ได้เต็มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เราก็สามารถทำได้” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว