“เอพี (ไทยแลนด์)” โชว์ผลประกอบการปี 59 กำไรสุทธิ 2,702.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 แม้รายได้รวมจะลดลงมาอยู่ที่ 20,253.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.3 แต่ได้รับแรงอานิสงส์โครงการร่วมทุน ผลักดันรายได้รวมเพิ่มเป็น 22,622.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ขณะที่โครงการแนวราบแรงหนุนการเติบโต ส่วนคอนโดฯ ได้แรงส่งจากโครงการร่วมทุนดันรายได้เพิ่มเป็น 9,122 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ส่วนอัตรากำไรทั้งแนวราบ-แนวสูงยังดี ต้นทุนรวมปรับลดลง เหตุมีการแชร์ต้นทุน
นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ เลขานุการบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับปี 2559 ว่า มีกำไรสุทธิ 2,702.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,623.4 ล้านบาทของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้รวมลดลงจาก 22,078.5 ล้านบาทในปี 58 เป็น 20,253.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.3 อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมรายได้จากการร่วมทุนในอัตราส่วน 51 จะทำให้รายได้รวมเป็น 22,622.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6
ทั้งนี้ เมื่อแยกดูตามประเภทของสินค้า จะพบว่าสินค้าแนวราบในปี 59 รับรู้รายได้ 12,947 ล้านบาท และยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.2 และคิดเป็นร้อยละ 65.9 ของรายได้ทั้งหมด
สำหรับโครงการแนวสูงในปีนี้รับรู้รายได้ 6,701 ล้านบาท แม้จะเติบโตลดลงร้อยละ 26.3 แต่เมื่อรวมรายได้จากการร่วมทุนในอัตราส่วนร้อยละ 51 (2,416 ล้านบาท) จะทำให้รายได้แนวสูงรวมเป็น 9,122 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากปีก่อนหน้า
ในปี 59 เป็นปีแรกที่มีการรับรู้รายได้จากการร่วมทุนมูลค่า 4,737.9 ล้านบาท ทำให้ในปีนี้มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้า 370.8 ล้านบาท ซึ่งผลลัพธ์ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 34.1 ในปี 58 มาเป็นร้อยละ 34.4 แม้ว่าในบางโครงการจะมีการทำการแข่งขันด้านราคา อัตรากำไรขั้นต้นของโครงการทั้งแนวราบ และแนวสูงยังอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ อัตรากำไรแนวราบเท่ากับร้อยละ 31.1 และคอนโดมิเนียมเท่ากับร้อยละ 35.4
ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารต่อรายได้เท่ากับร้อยละ 19.8 เพิ่มขึ้นจาก 3,968.9 ล้านบาท มาเป็น 4,011.8 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัทนั้น รวมครอบคลุมถึงกิจกรรมร่วมทุนด้วย เมื่อคำนวณโดยการรวมรายได้จากการร่วมทุนในอัตราร้อยละ 51 ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารต่อรายได้จะเท่ากับร้อยละ 17.7
อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในปีนี้ คิดเป็น 0.70 เท่า ดีขึ้นจาก 0.81 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โครงสร้างหนี้สินส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงเป็นหุ้นกู้มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับร้อยละ 84.8