“แอล.พี.เอ็น.” แจงแผนปรับโครงสร้างทางธุรกิจบริษัทย่อย “บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส” ดึงเจ้าตลาดคอนโดฯติดแนวรถไฟฟ้า “อนันดา ดีเวลลอปเมนท์” เข้าถือหุ้นหลังการเพิ่มทุนสัดส่วน 10% พ่วงบริษัท ไพลอนฯ ผู้นำธุรกิจเสาเข็มเจาะระดับแนวหน้าของประเทศไทยเข้าเสริมทัพ “โอภาส” ระบุเพื่อยกระดับบริษัทลุมพินีฯ สู่ความเป็นมืออาชีพ กระจายฐานลูกค้า ลดความเสี่ยง วางแผนปี 60 เจาะลูกค้าโครงการในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่างาน 1,350 ล้านบาท
การปรากฏตัวในงานแถลงข่าว “เครือ LPN ปรับโมเดลธุรกิจก้าวสู่ “บริบทใหม่แห่งความยั่งยืน”” เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา ของ นายชานนท์ เรืองกฤตยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าของเมืองไทย จนเกิดกระแสข่าวที่บริษัท อนันดาฯ จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท แอล.พี.เอ็น.ฯ หนึ่งในยักษ์ใหญ่ธุรกิจคอนโดมิเนียมของประเทศไทย
ล่าสุดนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ฯ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ความชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจบริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด หรือ LPS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท แอล.พี.เอ็น. โดยบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นใน LPS ร้อยละ 99.93 ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2560 ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 ได้มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างทางธุรกิจของ LPS
ทั้งนี้ ในการปรับโครงสร้างดังกล่าว บริษัทจะมีการเพิ่มทุน ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนแล้ว บริษัทจะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน LPS ร้อยละ 51 โดยจะมีผู้ถือหุ้นรายใหม่จำนวน 2 บริษัท คือ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON (ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก (เสาเข็มเจาะ) ระดับแนวหน้าของประเทศไทย) เพิ่มเข้ามา
ทั้งนี้ บริษัท อนันดาฯ จะเข้าซื้อหุ้นสามัญของ LPS ในสัดส่วนร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ LPS ภายหลังจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ LPS เป็นจำนวน 50,000,000 บาท บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) จะเข้าถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 2 ในมูลค่าการลงทุนที่เหมาะสมตามราคาที่ประเมิน โดยผู้ประเมินอิสระที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สำหรับ LPS ธุรกิจเดิม คือ การให้บริการเป็นตัวแทนเจ้าของโครงการด้านการบริหารจัดการโครงการให้กับบริษัท และบริษัทย่อย แต่หลังการมีผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามา LPS จะปรับแนวการทำธุรกิจใหม่ โดยให้บริการเป็นตัวแทนเจ้าของโครงการด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรให้กับบริษัท บริษัทย่อย และบริษัททั่วไป ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัทหลายประกาศ ทั้งการกระจายฐาน และลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ อาทิ เพิ่มรายได้ เพิ่มพันธมิตร และเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ขององค์กรให้เกิดความเป็นมืออาชีพ
ส่วนผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากการปรับโครงสร้างของการลงทุน และการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการทำธุรกิจของ LPS เพื่อเป็นการขยายฐานธุรกิจในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เดียวกัน และธุรกิจข้างเคียง และยังคงอยู่ภายใต้นโยบายของบริษัท จึงไม่มีผลกระทบที่เป็นสาระสำคัญต่อภาพรวมของงบการเงินรวมของบริษัท ทั้งบแสดงฐานะการเงินรวม และงบกำไรขาดทุนรวม
“แผนการดำเนินงานของ LPS ในปีนี้ นอกเหนือจากการรับงานของบริษัท คือ การรับงานจากลูกค้าภายนอก โดยมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่วงเริ่มต้น คือ ลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดการณ์มูลค่าโครงการประมาณ 1,350 ล้านบาท” นายโอภาส กล่าว
สำหรับฐานทางการเงินในปี 2559 มีสินทรัพย์รวม 54.85 ล้านบาท หนี้สินรวม 47.29 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 7.55 ล้านบาท มีรายได้ขายและบริการ 132.26 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 78.22 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้นิติบุคคล 11.89 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.86 ล้านบาท.