ผู้ว่าฯ ธปท.แนะแบงก์ปรับตัวรับการเงินยุคดิจิตอล เร่งหารายได้ชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียม หลังผู้ใช้บริการลดพึ่งพาสาขา พร้อมส่งสัญญาณอัตรา ดบ.นโยบายที่เหมาะสม
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาพิเศษ เรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจไทย ยุคดิจิตอล” โดยระบุว่า ธปท. มองว่า ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการปรับตัวเพื่อสอดรับกับยุคดิจิตอลที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งการให้บริการแบบดิจิตอลถือว่าเป็นการให้บริการที่มีต้นทุนต่ำในแง่ของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ แม้จะทำให้ผู้ประกอบการที่เป็นสถาบันการเงินต้องสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมไป แต่เป็นสิ่งที่สถาบันการเงินจะต้องยอมรับ และหาบริการอื่นๆ ที่มีคุณภาพมาเสนอต่อลูกค้าเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากส่วนนี้
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า การให้บริการแบบดิจิตอลเริ่มมีบบทบาทในเรื่องการรับรู้ข่าวสารเป็นอย่างแรก ซึ่งเห็นได้จากในปัจจุบันที่ประชาชนดูข้อมูลข่าวสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ต่างๆ ทำให้มีผลกระทบต่อธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์อย่างมาก ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่สำคัญในยุคดิจิตอล
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า แนวโน้มการให้บริการของสถาบันการเงินในยุคดิจิตอลนั้น จะเป็นการให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมากขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องขยายสาขาเพิ่มมากเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ที่มีการเปิดสาขาใหม่เฉลี่ย 300 สาขาต่อปี
โดยในปีนี้ ธปท. คาดว่า จำนวนการขอปิดสาขาของธนาคารพาณิชย์จะยังมีมากกว่าการขอเปิดสาขา ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องจากปี 59 เพราะปัจจุบัน การให้บริการผ่านสาขาของธนาคารพาณิชย์มีบทบาทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ จำนวน 20 ล้านคน ระบบอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง จำนวน 15 ล้านคน และผู้สมัครใช้บริการพร้อมเพย์ 22 ล้านคน
ส่วนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ธปท. ยังมองว่า จะขยายตัวได้ 3.2% จากปัจจัยขับเคลื่อนของการเบิกจ่ายงบประมานของภาครัฐ และการลงทุนของภาครัฐที่เป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ โดย ธปท.จะมีการทบทวนภาวะเศรษฐกิจในทุกไตรมาส และขอให้รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงเดือน มี.ค.นี้ ว่าจะมีทิศทางอย่างไร ก่อนที่ ธปท.จะมีการทบทวนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือทางการเงิน เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันที่ระดับ 1.50% เป็นระดับที่เหมาะสม ที่ยังสามารถช่วยการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้ ไม่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมาก และทำให้ค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม แม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของโลกจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นก็ตาม