ผอ.ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ชี้ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้มีความผันผวนสูง เหตุค่าเงินบาทแข็งค่า และนโยบายทรัมป์ กดดันเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไม่ไหลกลับเข้าไทย แนะหุ้นกลุ่มพลังงาน และสถาบันการเงินได้รับอานิสงส์การปรับขึ้นราคาน้ำมัน
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า มองดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้น่าจะปรับตัวขึ้นได้ยากแล้ว แต่คงจะไม่ปรับตัวลงในระดับที่รุนแรง เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ ขณะที่การเทรดของนักลงทุนจะเป็นในลักษณะการเทรดสลับกลุ่มลงทุน ไม่ได้ปรับขึ้นทั้งตลาดเหมือนปีก่อน โดยกรอบการลงทุนประเมินว่า เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,360-1,570 จุด บนพื้นฐาน P/E ที่ 13-15 เท่า ภายใต้คาดการณ์ EPS Growth อยู่ที่ 104.6 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนต่างชาติในปัจจุบัน มองว่ายังไม่เห็นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่จะเห็นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรบ้าง โดยเฉพาะในพันธบัตรระยะสั้น หรือเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินบาทส่งผลให้ค่าเงินทบาทปรับตัวแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเป็นการแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากบ้านเรามีดุลบัญชีการค้าค่อนข้างดี ดุลบัญชีเดินสะพัดก็เป็นบวกต่อเนื่อง รวมถึงภาพของการส่งออกก็พลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกอีกด้วย จึงเห็นการเก็งกำไรในค่าเงินบาท
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ยอดซื้อสุทธิอยู่ในระดับเพียง 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการขายสุทธิมากกว่า ขณะที่ในตลาดอนุพันธ์จะเห็นได้ว่ามีการเปิดสถานะ Short ไว้ตั้งแต่ต้นปีจำนวนราว 3 หมื่นสัญญา ซึ่งอาจจะเป็นการเปิดสถานะ Short เพื่อไปปิดสถานะ Long ที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่ปีก่อนจำนวนราว 2 แสนสัญญา หรือเป็นการเปิด Shot ใน Series M, Series U เป็นต้น ซึ่งเป็นการแสดงถึงมุมมองของนักลงทุนต่างชาติในระยะยาวยังไม่ดี
“ขณะเดียวกัน ภาพของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาน้อย ส่งผลให้ตลาดปัจจุบันไม่มีเม็ดเงินใหม่ๆ เนื่องจากปีนี้ตรงกันข้ามกับปีที่ผ่านมา จากที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ, ดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ขาลง, ราคาน้ำมันปรับตัวดลง และตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานตามตลาดหุ้นทั่วโลก ประกอบกับผลตอบแทนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตลาดพันธบัตรให้ผลตอบแทนต่ำมาก ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เช่น ในตลาดเกิดใหม่จาก valuation ที่ถูก รวมถึง EPS ปี 59 ก็อยู่ในระดับสูง หรือเติบโตราว 37% จากปี 58 ที่อยู่ที่ 70 บาท/หุ้น”
ขณะที่ปี 2560 อัตราเงินเฟ้อได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น, ดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ขาขึ้น, ราคาน้ำมันก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้อยู่ที่ระดับ 54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีโอกาสปรับขึ้นไปอยู่ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปริมาณการใช้น้ำมัน และการสต๊อกน้ำมันสมดุลกัน อีกทั้งตลาดปรับเพิ่มขึ้นมาราว 20% โดย P/E ปัจจุบันกลับมาที่ 15 เท่า อีกทั้ง dividend yield ก็ไม่ได้จูงใจ ซึ่งคาดการณ์ว่า เงินปันผลที่จะจ่ายในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.60 จะอยู่ที่ 1.9% หรือทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 2.9% เท่านั้น ทำให้เงินลงทุนใหม่ๆ ไม่ไหลเข้ามา แต่ไหลเข้าไปในสหรัฐฯ มากที่สุด หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัปม์ ได้ดำเนินนโยบายยกระดับประเทศ ทำให้อาจจะเกิดความเสี่ยงต่อเงินทุนไหลออก หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้น ซึ่งน่าจะมีปัจจัยมาจากนโยบายการค้าของทรัมป์, การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่มีความเป็นไปได้สูงว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้จำนวน 3 ครั้ง, การเลือกตั้งในยุโรป และการดำเนินการ Brexit ส่งผลต่อค่าเงินปอนด์อ่อนค่า รวมถึงค่าเงินยูโรอ่อนค่าด้วย เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็นตัวกดดันให้ฟันโฟลวไหลออกได้
“ภาพโดยรวมของตลาด มองว่าน่าจะปรับตัวขึ้นยากมาก จากเล่นกันด้วยเงินภายในประเทศ แต่คงจะไม่ปรับลงมาในระดับที่รุนแรง ซึ่งการเคลื่อนไหวของ Set ในปีนี้เราคิดว่า คงจะไม่แพงเหมือนปีก่อน ซึ่งน่าจะเทรดกันอยู่ที่ 13-15 เท่า ภายใต้ EPS 104.6 บาทต่อหุ้น”
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนในปีนี้ คือ กลุ่มพลังงาน เช่น PTT, PTTEP, BANPU กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL, KTB และหุ้นที่มีกำไรสุทธิโตสูง เช่น MEGA, TKN, BEAUTY, BIG ขณะที่หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง คือ กลุ่มสื่อสาร จากการรับรู้ค่าเสื่อมใบอนุญาตเต็มปีในปีนี้, รับเหมา, อสังหาริมทรัพย์, วัสดุก่อสร้าง และค้าปลีก จากภาวะดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อยอดซื้อบ้านลดลง และอุปโภค-บริโภคซบเซา