ตลาดหุ้นนอกจากถูกมองเป็นบ่อนการพนัน ศูนย์รวมการทุจริตแล้ว ล่าสุดยังถูกพูดถึงการเป็นแหล่งฟอกเงินอีกด้วย
การนำเงินสกปรก เงินจากการทุจริตคอร์รัปชั่น มาฟอกให้เป็นเงินที่สะอาด เป็นเงิน ”มีที่มาที่ไป” และมีหลักฐานยืนยัน กระทำกันในรูปแบบการปั่นหุ้น
นักการเมืองหันมาใช้บริการตลาดหุ้นกันคึกคัก โดยเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ในฐานะลูกค้ารายใหญ่ มีวงเงินลงทุนหรือพอร์ตระดับร้อยล้านบาท
กลุ่มทุนการเมืองที่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมือง และเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนอยู่แล้ว ยิ่งฟอกเงินสะดวก เพราะเมื่อได้เงินจากการทุจริตโครงการภาครัฐ จะนำมาฟอกผ่านตลาดหุ้นด้วยวิธีง่ายๆ
ขั้นตอนการฟอกเงินเริ่มต้นด้วยการซื้อหุ้นเก็บไว้ก่อน หรือถ้าเป็นกลุ่มทุนการเมืองที่เป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียน จะมีหุ้นอยู่ในมืออยู่แล้ว
เมื่อเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพียงพอ จะเริ่มกระบวนการปั่นหุ้น โดยตั้งบริษัทในหมู่เกาะฟอกเงิน อาจเป็นเกาะเคย์แมนหรือบริติชเวอร์จิ้น ก่อนส่งคำสั่งไล่ซื้อหุ้นตัวที่เก็บไว้ก่อนหน้า ควบคู่กับการสร้างข่าวหรือปล่อยข่าวผลักดันราคาหุ้น กระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยตามแห่เข้ามาเก็งกำไร
คำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ใครเป็นผู้ซื้อ เงินมาจากแหล่งใด เพราะปรากฏเพียงชื่อบริษัท “นอมินี” หรือบริษัทตุ๊กตาที่ตั้งบนเกาะฟอกเงินเท่านั้น
หุ้นบางตัวราคาเคลื่อนไหวแถว20 สตางค์ แต่มีแรงซื้อจากต่างประเทศอัดเข้ามา ไล่ราคาพุ่งขึ้นไปถึงประมาณ 4 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ20 เท่าภายในเวลาไม่กี่เดือน
เมื่อราคาทะยานแถวระดับ 4 บาท กลุ่มทุนการเมืองหรือนักการเมือง จะพากันเทขายหุ้นออก พอร์ตลงทุนจาก100 ล้านบาท จะเพิ่มเป็น2,000 ล้านบาทในเวลารวดเร็ว
เงินสกปรก เงินที่ได้มาจากการทุจริตคอร์รัปชั่น จะกลายเป็นเงินสะอาดทันที เพราะถือเป็นเงินที่ได้จากการกำไรหุ้น และมีหลักฐานการซื้อขายยืนยันความบริสุทธิ์ของเงิน
ส่วนบริษัทที่ตั้งบนเกาะฟอกเงิน และเป็นผู้ไล่ซื้อหุ้นจาก20สตางค์จนถึง 4 บาท อาจขาดทุนยับ เพราะหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการฟอกเงิน ราคาหุ้นจะถูกปล่อยให้รูดลงมา
และแม้จะขาดทุน แต่เงินไม่ได้หายไปไหน เพราะเป็นเงินจากแหล่งที่มาเดียวกัน จากคนๆเดียวกัน เพียงแต่เงินที่เคยสกปรก ถูกเปลี่ยนให้เป็นเงินสะอาดผ่านตลาดหุ้น ก่อนกลับไปอยู่ที่เจ้าของคนเดิม
ต้นทุนการฟอกเงินผ่านการปั่นหุ้นถือว่าต่ำมาก โดยเสียค่าคอมมิชชั่นทั้งซื้อและขายหุ้นประมาณ0.20% เพราะเมื่อเป็นลูกค้ารายใหญ่ สามารถต่อรองค่าคอมมิชชั่นได้ การฟอกเงินจำนวน2,000 ล้านบาท จึงอาจเสียค่าใช้จ่ายเพียงประมาณ4-5ล้านบาทเท่านั้น
การฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นเกิดขึ้นบ่อย ในยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเชื่อกันว่า มีการนำเงินจากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวมาฟอกให้เป็นเงินจากการกำไรหุ้น
และไม่มีหน่วยงานใดตามแกะรอยเงินจากการปล้นชาติที่นำมาฟอกผ่านตลาดหุ้นได้เสียด้วย
ใครอยากรู้ว่า หุ้นตัวไหนถูกใช้เป็นกลไกฟอกเงิน ต้องตรวจสอบย้อนหลังว่า ในช่วงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ มีหุ้นตัวใดถูกกระชากขึ้นอย่างร้อนแรงบ้าง และเป็นหุ้นของกลุ่มทุนการเมืองที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์หรือไม่
การใช้ตลาดหุ้น เป็นแหล่งชำระล้างเงินสกปรก ยังไม่มีแนวทางป้องกันแก้ไข และหน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดหุ้น อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อาชญากรทางเศรษฐกิจตใช้ลาดหุ้นเป็นแหล่งงฟอกเงิน
และแม้จะรู้ แต่ก็ตรวจสอบได้ยาก เพราะเมื่อนักฟอกเงิน ออกไปตั้งบริษัทบนเกาะฟอกเงินในต่างประเทศ และโยนคำสั่งซื้อหุ้นเข้ามา กระบวนการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)และตลาดหลักทรัพย์จะถูก”ตัดตอน”
ไม่มีวันรู้ว่า ใครคือผู้สั่งซื้อหุ้นตัวจริง จะรู้เพียงชื่อบริษัทนอมินีเท่านั้น ไม่อาจสาวข้อมูลลึกถึงต้นตอของเงินได้
บริษัทจดทะเบียนที่มีวาระซ่อนเร้น มีธุรกรรมไม่โปร่งใส จึงนิยมตั้งบริษัทลูกบนเกาะฟอกเงิน เะพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
ปัญหา”ปั่นหุ้น”ก็แก้กันวุ่นอยู่แล้ว มีปัญหา “ฟอกเงิน”เข้ามาอีก ตลาดหุ้นคงเละกันไปใหญ่