นับตั้งแต่ต้นปี ราคาทองคำในตลาดโลกมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน ม.ค.ราคาทองในตลาดโลกพุ่งขึ้นกว่า 5% ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2016 ขณะที่ในเดือน ก.พ.ราคาทองคำพุ่งขึ้นต่อเนื่อง และขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน บริเวณ 1,244ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์
คำถามที่เชื่อว่าในตอนนี้เกิดขึ้นในใจนักลงทุนทองคำหลายคน คือ ราคาทองคำในช่วงต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ในวันนี้ ทาง YLG ได้ประมวลมุมมองต่อทองคำในสายตานักวิเคราะห์ รวมถึงผู้จัดการการเงินที่ทำหน้าที่บริหารเงินทุน 5.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สรุปดังนี้
จากผลการสำรวจรายเดือนของ Bank of America Merrill Lynch(BofA) โดย BofA สำรวจความเห็นจากผู้จัดการการเงิน จำนวน 175 คน ที่ทำหน้าที่บริหารเงินทุน 5.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ บ่งชี้ว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดมองว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ช่วยปกป้องพอร์ตลงทุนที่ดีที่สุด และ 15% ของพวกเขาคิดว่าทองคำ ณ ขณะนี้มีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (undervalued) ผู้จัดการการเงินมักจะอ้างว่าทองคำมีค่ามากกว่าที่ควรจะเป็น (overvalued) ไม่น่าสนใจ หรือทั้งคู่
นับตั้งแต่เริ่มมีการถามความเห็นเกี่ยวกับทองคำในการสำรวจรายเดือนของ BofAในปี 2004 มีเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ที่เสียงส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาทองคำมีราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่ง 2 ครั้งหลังนั่นคือ ม.ค.2009 และ ม.ค.2015 ที่ทองคำพุ่งขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นเรื่องที่มากกว่าความบังเอิญ ดังนั้น ความคิดเห็นสำรวจล่าสุดจึงอาจจะเป็นมากกว่าการส่งผ่านความสนใจ เนื่องจากโดยปกติแล้วพวกเขาเหล่านี้มักจะไม่ถือครองทองคำในพอร์ตการลงทุน
อันที่จริงหากต้องการจะเข้าซื้อบางส่วนพวกเขาจะต้องผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการการลงทุนซึ่งจะใช้เวลาสัปดาห์ หรือเป็นเดือน แต่ถ้าพวกเขามีความสนใจ และยังคงสนใจอยู่ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า อาจเป็นปัจจัยที่จะช่วยผลักดันอุปสงค์ทองคำในด้านการลงทุนในหลายเดือนข้างหน้า
ด้านรายงานจากสมาคมผู้ค้าทองคำแห่งลอนดอน หรือ London Bullion Market Association (LBMA) ที่ในปี 2017 มีนักวิเคราะห์ จำนวน 23 คน จากธนาคารต่างๆ เช่น Maquarie Bank, Thomsom Reuters GFMS, HSBC, UBS, ICBC และ Metals Focus เป็นต้น พบว่าคาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยปี 2017 ของนักวิเคราะห์ทั้ง 23 คน อยู่ที่ 1,244 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสูงกว่าราคาทองคำเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของเดือน ม.ค.ปีนี้ราว 5.3% โดยราคาต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,101 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีราคาสูงสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,379 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองอันเนื่องมาจากนโยบายชาตินิยมตามแนวคิด “America First” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ความกังวลว่าอังกฤษจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวในการถอนตัวออกจาก EU(hard Brexit) ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในฝั่งยุโรป และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐ และจีน เหล่านี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนทองคำในปี 2017
ขณะที่ความเสี่ยงที่จะกดดันราคาทองคำ ได้แก่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น เช่นเดียวกับอุปสงค์ทองคำที่ซบเซาทั้งในจีน และอินเดีย จะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในปี 2017 เช่นกัน
ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยดังกล่าวเป็นเพียงประมาณการเท่านั้น ทาง YLG ยังคงแนะนำให้นักลงทุนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายด้านต่างประเทศ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการเลือกตั้งในฟากฝั่งยุโรปซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคตของสหภาพยุโรป อีกทั้งการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องจับตามองเช่นกัน และใช้ข่าวสารดังกล่าวประกอบกับแนวโน้มทางเทคนิคเพื่อให้การลงทุนของท่านมีประสิทธิภาพ
ที่มา : LBMA, Marketwatch
คำถามที่เชื่อว่าในตอนนี้เกิดขึ้นในใจนักลงทุนทองคำหลายคน คือ ราคาทองคำในช่วงต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ในวันนี้ ทาง YLG ได้ประมวลมุมมองต่อทองคำในสายตานักวิเคราะห์ รวมถึงผู้จัดการการเงินที่ทำหน้าที่บริหารเงินทุน 5.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สรุปดังนี้
จากผลการสำรวจรายเดือนของ Bank of America Merrill Lynch(BofA) โดย BofA สำรวจความเห็นจากผู้จัดการการเงิน จำนวน 175 คน ที่ทำหน้าที่บริหารเงินทุน 5.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ บ่งชี้ว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดมองว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ช่วยปกป้องพอร์ตลงทุนที่ดีที่สุด และ 15% ของพวกเขาคิดว่าทองคำ ณ ขณะนี้มีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (undervalued) ผู้จัดการการเงินมักจะอ้างว่าทองคำมีค่ามากกว่าที่ควรจะเป็น (overvalued) ไม่น่าสนใจ หรือทั้งคู่
นับตั้งแต่เริ่มมีการถามความเห็นเกี่ยวกับทองคำในการสำรวจรายเดือนของ BofAในปี 2004 มีเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ที่เสียงส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาทองคำมีราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่ง 2 ครั้งหลังนั่นคือ ม.ค.2009 และ ม.ค.2015 ที่ทองคำพุ่งขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นเรื่องที่มากกว่าความบังเอิญ ดังนั้น ความคิดเห็นสำรวจล่าสุดจึงอาจจะเป็นมากกว่าการส่งผ่านความสนใจ เนื่องจากโดยปกติแล้วพวกเขาเหล่านี้มักจะไม่ถือครองทองคำในพอร์ตการลงทุน
อันที่จริงหากต้องการจะเข้าซื้อบางส่วนพวกเขาจะต้องผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการการลงทุนซึ่งจะใช้เวลาสัปดาห์ หรือเป็นเดือน แต่ถ้าพวกเขามีความสนใจ และยังคงสนใจอยู่ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า อาจเป็นปัจจัยที่จะช่วยผลักดันอุปสงค์ทองคำในด้านการลงทุนในหลายเดือนข้างหน้า
ด้านรายงานจากสมาคมผู้ค้าทองคำแห่งลอนดอน หรือ London Bullion Market Association (LBMA) ที่ในปี 2017 มีนักวิเคราะห์ จำนวน 23 คน จากธนาคารต่างๆ เช่น Maquarie Bank, Thomsom Reuters GFMS, HSBC, UBS, ICBC และ Metals Focus เป็นต้น พบว่าคาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยปี 2017 ของนักวิเคราะห์ทั้ง 23 คน อยู่ที่ 1,244 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสูงกว่าราคาทองคำเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของเดือน ม.ค.ปีนี้ราว 5.3% โดยราคาต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,101 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีราคาสูงสุดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,379 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองอันเนื่องมาจากนโยบายชาตินิยมตามแนวคิด “America First” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ความกังวลว่าอังกฤษจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวในการถอนตัวออกจาก EU(hard Brexit) ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในฝั่งยุโรป และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐ และจีน เหล่านี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนทองคำในปี 2017
ขณะที่ความเสี่ยงที่จะกดดันราคาทองคำ ได้แก่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น เช่นเดียวกับอุปสงค์ทองคำที่ซบเซาทั้งในจีน และอินเดีย จะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในปี 2017 เช่นกัน
ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยดังกล่าวเป็นเพียงประมาณการเท่านั้น ทาง YLG ยังคงแนะนำให้นักลงทุนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายด้านต่างประเทศ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการเลือกตั้งในฟากฝั่งยุโรปซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคตของสหภาพยุโรป อีกทั้งการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องจับตามองเช่นกัน และใช้ข่าวสารดังกล่าวประกอบกับแนวโน้มทางเทคนิคเพื่อให้การลงทุนของท่านมีประสิทธิภาพ
ที่มา : LBMA, Marketwatch