KTBST มอง SET วันนี้แนวโน้มปรับขึ้นจากปัจจัยบวก ศก.ไทย-ตปท.ดีต่อเนื่อง หนุนมีแรงซื้อกลับ แต่การลงทุนยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะตัวแปรสำคัญที่สุด คือ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังไม่สะท้อนมาในตลาดทั้งหมด ทิศทางตลาดจึงคาดว่า จะยังแกว่งออกด้านข้างในกรอบ 1,566-1,600 จุด
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (15 ก.พ.) ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากปัจจัยบวกของเศรษกิจไทย และต่างประเทศที่ดี โดยจากการที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวดี และมีแนวโน้มที่เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาด หรือกลับเข้าสู่กรอบเวลาเดิม โดยก่อนหน้านี้มีการคาดว่า เฟดจะไปขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือม พ.ค. แต่ถ้าตีความตามนี้อาจปรับขึ้นในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 14-15 มี.ค.นี้เลย ความน่าจะเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ในการประชุมครั้งถัดไป ปรับขึ้นจาก 30% เป็น 34%
ทั้งนี้ จากการแถลงดังกล่าวมีทั้งบวก และลบต่อตลาดหุ้นไทย ส่วนที่เป็นบวก คือ การย้ำว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นยังดีอยู่ (ดีกับกลุ่มส่งออกไทย) แต่ฝั่งที่อาจถูกมองว่าลบ คือ ดอกเบี้ยจะปรับขึ้น และกังวลเรื่อง Fund Flow จะมีตามมา
โดยการขายหุ้นใหญ่โดยเฉพาะกลุ่ม PTT บางตัว อาจมาจากปัจจัยเฉพาะตัว ซึ่งไปทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นวานนี้ (14 ก.พ.) เสียไปด้วย ขณะที่ราคาน้ำมันนั้นยังคงแกว่งในกรอบ 51-53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้หุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี อาจไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นได้มากนัก
นายมงคล กล่าวว่า ภาพของตลาดหุ้นไทยดูจากปริมาณเงินที่เข้ามาในตลาดเอเชียส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน คือ มีเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตร และชะลอในตลาดหุ้น ซึ่งน่าจะมาจากนักลงทุนกำลังรอดูตัวแปรสำคัญๆ อาทิ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การเมืองของยุโรป ส่วนทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้นในคืนที่ผ่านมา
ดังนั้น จึงประเมินว่า ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจไทย และของต่างประเทศที่ยังดีต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด ดัชนีฯ น่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากวันก่อน การนำส่งงบการเงินของบริษัทต่างๆ ที่เริ่มมากขึ้นตั้งแต่วันก่อนจะมีผลต่อราคาหุ้นตัวนั้นๆ ด้วย เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่มีการทำ preview น้อยลงในไตรมาสนี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน มองว่าดัชนีฯ น่าจะมีการรีบาวนด์ แต่การลงทุนยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะตัวแปรสำคัญที่สุด คือ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังไม่สะท้อนมาในตลาดทั้งหมด ทิศทางตลาดจึงคาดว่าจะยัง Sideway ในกรอบ 1,566-1,600 จุด ไปอีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ ยังให้ความสนใจกับหุ้นที่เป็น Domestic Play อาทิ กลุ่มธนาคาร ที่อยู่อาศัย หรือหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดี ในการเก็งกำไรช่วงสั้น หุ้นที่คาดว่า อาจได้รับความสนใจจากนักลงทุน อาทิเช่น TISCO, PLAT, GOLD, VIH