คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มีมติเอาผิดทางวินัยเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการพัฒนาจุดผ่อนปรนช่องภูดู่ อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ ให้เป็นด่านถาวร และบริเวณกลุ่มศูนย์ราชการบ้านโคกฐาน ทำการก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ใช้ประโยชน์จริงไม่ได้ รวมถึงไม่เคยทำประชาพิจารณ์ เหตุถูกชาวบ้านในพื้นที่ประท้วงจนไม่สามารถดำเนินการย้ายที่ว่าการอำเภอไปยังศูนย์ราชการใหม่ได้
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 และเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2560 ได้พิจารณารายงานการตรวจสอบของ สตง. ซึ่งพบเจ้าหน้าที่หน่วยรับตรวจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในโครงการพัฒนาจุดผ่อนปรนช่องภูดู่ เป็นด่านชายแดนถาวร
ทั้งนี้ สำนักตรวจสอบพิเศษภาค 9 (จังหวัดลำปาง) ได้ตรวจสอบโครงการพัฒนาจุดผ่อนปรนช่องภูดู่ ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ พบว่า มีการเบิกจ่ายเงินโดยสำนักงานจังหวัดอุตรดิตถ์ ตามสัญญาจ้างใน 3 ช่วงระยะเวลา รวมมูลค่า 41,899,000 บาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่บริเวณตลาดการค้าชายแดนช่องภูดู่ และบริเวณกลุ่มอาคารศูนย์ราชการบ้านโคก (แห่งใหม่) ผลปรากฏว่า การก่อสร้างระยะที่ 1 แล้วเสร็จ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มากว่า 8 ปี จำนวน 9 รายการ มูลค่า 13,109,445.53 บาท การก่อสร้างระยะที่ 2 แล้วเสร็จ แต่ไม่ได้ประโยชน์กว่า 3 ปี จำนวน 9 รายการ มูลค่า 22,531,148.72 บาท
ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจากไม่มีการทำประชาพิจารณ์ก่อนการดำเนินโครงการ จึงส่งผลให้มีการชุมนุมประท้วงคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถย้ายที่ว่าการอำเภอไปยังศูนย์ราชการใหม่ได้ และยังพบปัญหาการก่อสร้างระยะที่ 1 ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามแบบรายการ คณะกรรมการกำหนดราคากลางถอดแบบ และจัดทำใบแจ้งปริมาณงาน และราคางานก่อสร้างสำหรับงานป้อมยามบริเวณกักกันสัตว์เกินกว่าแบบแปลนก่อสร้างจำนวน 1 หลัง เป็นเหตุให้ทำสัญญาจ้างสูงกว่าราคาจริง 99,453 บาท นอกจากนี้ ยังพบพฤติการณ์เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่แจ้งให้ผู้รับจ้างดำเนินการซ่อมแซม เมื่อเกิดความชำรุดบกพร่องภายในกำหนดระยะเวลาประกันตามสัญญา ทำให้ต้องใช้เงินงบประมาณของทางราชการซ่อมแซม จำนวน 2,094,950 บาท
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน จึงมีมติให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางวินัย และดำเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542
นอกจากนี้ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ยังได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของอธิการบดี และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยนครพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งผลการตรวจสอบพยานหลักฐานของสำนักตรวจสอบพิเศษภาค ๕ (จังหวัดอุบลราชธานี) ฟังได้ว่า การอนุมัติทุนการศึกษาให้แก่คณะบดี และรองคณบดีวิทยาลัยบรมราชชนนี นครพนม มีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุมเพื่ออนุมัติทุนการศึกษาดังกล่าวไม่ครบองค์ประชุม แต่มีการจัดทำรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ ซึ่ง ม.นครพนม ได้ดำเนินการลงโทษทางวินัย และดำเนินการทางละเมิดตามอำนาจหน้าที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้คณะบดีฯ ได้คืนเงินทุนการศึกษา จำนวน 455,250 บาทแล้ว แต่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นควรติดตามผลการดำเนินการทางละเมิดในรายรองคณบดีฯ ต่อไป และให้แจ้งคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการทางอาญากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารรายงานการประชุมเท็จต่อไป
ส่วนกรณีที่ ม.นครพนม แก้ไขสัญญาเช่ารถยนต์จากรถยนต์ใหม่เป็นรถยนต์ที่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ทันทีนั้น คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เห็นว่า เนื่องจาก ม.นครพนม ถูกจำกัดด้วยงบประมาณ จึงทำให้ไม่สามารถเช่ารถยนต์ใหม่ได้ จึงขอเช่ารถที่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเป็นการแก้ไขให้ตรงตามข้อเท็จจริงตามที่ ม.นครพนม และผู้ให้เช่าได้ตกลงกันไว้แต่ต้น โดยไม่ได้ทำให้ราชการเสียหาย จึงมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินการจัดจ้างในลักษณะการจ้างเหมาบริการรถยนต์ พร้อมพนักงานขับรถ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
กรณีคณะศิลปศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ จัดเก็บค่าธรรมเนียมอื่นๆ แล้วนำฝากเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งไม่ใช่บัญชีของ ม.นครพนม จำนวน 2 บัญชี เพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในคณะฯ โดยไม่นำส่งเป็นรายได้ของ ม.นครพนม นั้น พยานหลักฐานมีไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า เป็นกระทำโดยทุจริต หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงิน หรือทรัพย์สินของทางราชการ
อย่างไรก็ตาม การไม่ขออนุมัติ หรือขอความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยก่อนการใช้จ่ายเงินดังกล่าวถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ม.นครพนม ว่าด้วยรายได้ของมหาวิทยาลัย พ.ศ.2555 ดังนั้น คณะกรรมการตรวจเงินแผนดิน จึงเห็นควรแจ้งให้ ม.นครพนม พิจารณาดำเนินการทางวินัยกับผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เพื่อหาผู้รับผิดชดใช้เงินคืน ม.นครพนม ต่อไป อีกทั้งยังมีมติให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ตามมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 และเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2560 ได้พิจารณารายงานการตรวจสอบของ สตง. ซึ่งพบเจ้าหน้าที่หน่วยรับตรวจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในโครงการพัฒนาจุดผ่อนปรนช่องภูดู่ เป็นด่านชายแดนถาวร
ทั้งนี้ สำนักตรวจสอบพิเศษภาค 9 (จังหวัดลำปาง) ได้ตรวจสอบโครงการพัฒนาจุดผ่อนปรนช่องภูดู่ ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร อ.บ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ พบว่า มีการเบิกจ่ายเงินโดยสำนักงานจังหวัดอุตรดิตถ์ ตามสัญญาจ้างใน 3 ช่วงระยะเวลา รวมมูลค่า 41,899,000 บาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่บริเวณตลาดการค้าชายแดนช่องภูดู่ และบริเวณกลุ่มอาคารศูนย์ราชการบ้านโคก (แห่งใหม่) ผลปรากฏว่า การก่อสร้างระยะที่ 1 แล้วเสร็จ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มากว่า 8 ปี จำนวน 9 รายการ มูลค่า 13,109,445.53 บาท การก่อสร้างระยะที่ 2 แล้วเสร็จ แต่ไม่ได้ประโยชน์กว่า 3 ปี จำนวน 9 รายการ มูลค่า 22,531,148.72 บาท
ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจากไม่มีการทำประชาพิจารณ์ก่อนการดำเนินโครงการ จึงส่งผลให้มีการชุมนุมประท้วงคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถย้ายที่ว่าการอำเภอไปยังศูนย์ราชการใหม่ได้ และยังพบปัญหาการก่อสร้างระยะที่ 1 ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามแบบรายการ คณะกรรมการกำหนดราคากลางถอดแบบ และจัดทำใบแจ้งปริมาณงาน และราคางานก่อสร้างสำหรับงานป้อมยามบริเวณกักกันสัตว์เกินกว่าแบบแปลนก่อสร้างจำนวน 1 หลัง เป็นเหตุให้ทำสัญญาจ้างสูงกว่าราคาจริง 99,453 บาท นอกจากนี้ ยังพบพฤติการณ์เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่แจ้งให้ผู้รับจ้างดำเนินการซ่อมแซม เมื่อเกิดความชำรุดบกพร่องภายในกำหนดระยะเวลาประกันตามสัญญา ทำให้ต้องใช้เงินงบประมาณของทางราชการซ่อมแซม จำนวน 2,094,950 บาท
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน จึงมีมติให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางวินัย และดำเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542
นอกจากนี้ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ยังได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของอธิการบดี และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยนครพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งผลการตรวจสอบพยานหลักฐานของสำนักตรวจสอบพิเศษภาค ๕ (จังหวัดอุบลราชธานี) ฟังได้ว่า การอนุมัติทุนการศึกษาให้แก่คณะบดี และรองคณบดีวิทยาลัยบรมราชชนนี นครพนม มีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุมเพื่ออนุมัติทุนการศึกษาดังกล่าวไม่ครบองค์ประชุม แต่มีการจัดทำรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ ซึ่ง ม.นครพนม ได้ดำเนินการลงโทษทางวินัย และดำเนินการทางละเมิดตามอำนาจหน้าที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้คณะบดีฯ ได้คืนเงินทุนการศึกษา จำนวน 455,250 บาทแล้ว แต่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นควรติดตามผลการดำเนินการทางละเมิดในรายรองคณบดีฯ ต่อไป และให้แจ้งคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการทางอาญากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารรายงานการประชุมเท็จต่อไป
ส่วนกรณีที่ ม.นครพนม แก้ไขสัญญาเช่ารถยนต์จากรถยนต์ใหม่เป็นรถยนต์ที่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ทันทีนั้น คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เห็นว่า เนื่องจาก ม.นครพนม ถูกจำกัดด้วยงบประมาณ จึงทำให้ไม่สามารถเช่ารถยนต์ใหม่ได้ จึงขอเช่ารถที่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเป็นการแก้ไขให้ตรงตามข้อเท็จจริงตามที่ ม.นครพนม และผู้ให้เช่าได้ตกลงกันไว้แต่ต้น โดยไม่ได้ทำให้ราชการเสียหาย จึงมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินการจัดจ้างในลักษณะการจ้างเหมาบริการรถยนต์ พร้อมพนักงานขับรถ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
กรณีคณะศิลปศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ จัดเก็บค่าธรรมเนียมอื่นๆ แล้วนำฝากเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งไม่ใช่บัญชีของ ม.นครพนม จำนวน 2 บัญชี เพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในคณะฯ โดยไม่นำส่งเป็นรายได้ของ ม.นครพนม นั้น พยานหลักฐานมีไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า เป็นกระทำโดยทุจริต หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงิน หรือทรัพย์สินของทางราชการ
อย่างไรก็ตาม การไม่ขออนุมัติ หรือขอความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยก่อนการใช้จ่ายเงินดังกล่าวถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ม.นครพนม ว่าด้วยรายได้ของมหาวิทยาลัย พ.ศ.2555 ดังนั้น คณะกรรมการตรวจเงินแผนดิน จึงเห็นควรแจ้งให้ ม.นครพนม พิจารณาดำเนินการทางวินัยกับผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เพื่อหาผู้รับผิดชดใช้เงินคืน ม.นครพนม ต่อไป อีกทั้งยังมีมติให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ตามมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542