เอสซีจี เตรียมสรุปผู้ร่วมทุนปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ไตรมาสแรกนี้ ส่วนเม็ดเงินลงทุนเพิ่มจาก 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐแน่ พร้อมเดินหน้าจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 10.50 บาท หลังอวดกำไรงวดสิ้นปี 56,084 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% เตรียมออกหุ้นกู้รีไฟแนนซ์หนี้เดิม 2.5 พันล้านบาท เม.ย.นี้
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยถึงโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามว่า จะสามารถสรุปดีลการร่วมทุนได้ในไตรมาสแรกปีนี้ และคาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องเม็ดเงินทุนอีกครั้งกลางปี ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประเมินไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหากเป็นไปตามแผน คาดว่าจะก่อสร้างโครงการได้ก่อนสิ้นปี 59 นี้
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนนั้น โรงงานปูนซีเมนต์ในเมียนมา เดินเครื่องผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี และโรงงานกระดาษคราฟในเวียดนาม โรงงานแห่งที่สอง กำลังการผลิตอีก 2.43 แสนตันต่อปี ส่งผลให้กำลังผลิตรวม 489,000 ตันต่อปี ขณะโรงปูนซีเมนต์ในลาว อยู่ระหว่างทดสอบเดินเครื่องผลิต ซึ่งถือว่าผลิตได้เร็วกว่าแผน อันจะทำให้มีสินค้าเพื่อรองรับความต้องการในตลาดได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี หลังการปรับตัวของราคาวัตถุดิบเคมีภัณฑ์ และต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้เตรียมรับมือไว้แล้ว ขณะธุรกิจซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ มีการแข่งขันสูง และจำนวนเพิ่มมากขึ้น ขณะความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างจะเพิ่มมากขึ้นตามโครงการเมกกะโปรเจกต์ของภาครัฐ ส่วนสินค้า HVA มียอดขาย 160,910 ล้านบาท หรือ 38% ของยอดรายได้รวม ซึ่งการเพิ่มรายได้การขายสินค้าชนิดนี้ถือเป็นการลดความเสี่ยงของรายได้รวมจากธุรกิจอื่นๆ ที่ผันผวนตามความต้องการในตลาด
นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการใช้งบสำหรับการวิจัยและพัฒนาว่า ปี 59 ใช้ไปกว่า 4,350 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน และเตรียมออกหุ้นเพื่อรีไฟแนนซ์ชุดเดิมที่จะครบดีล เมษายนนี้ 2.5 พันล้านบาท
โดยผลประกอบการกลุ่มเอสซีจี งวดสิ้นปี 59 กลุ่มมีรายได้ 423,442 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิ 56,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% ผลดีจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ราคาขายปรับดีขึ้น และรายได้จากการส่งออก 112,549 ล้านบาท หรือ 27% ของยอดขายรวม ขณะที่ธุรกิจของเอสซีจี ในเอาเซียนปี 59 เอสซีจีมีรายได้จากฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และการส่งออกไปยังอาเซียน 97,669 ล้านบาท หรือ 23% ของรายได้รวมลดลง 2% จากปีก่อน ผลจากการแข่งขันที่รุนแรน กอปรกับราคาสินค้าปรับลดลงด้วย อย่างไรก็ดี ปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 5-10%
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอีกในอัตราหุ้นละ 10.50 บาท หลังจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว หุ้นละ 8.50 บาท และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 27 เมษายนนี้
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยถึงโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามว่า จะสามารถสรุปดีลการร่วมทุนได้ในไตรมาสแรกปีนี้ และคาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องเม็ดเงินทุนอีกครั้งกลางปี ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประเมินไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหากเป็นไปตามแผน คาดว่าจะก่อสร้างโครงการได้ก่อนสิ้นปี 59 นี้
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนนั้น โรงงานปูนซีเมนต์ในเมียนมา เดินเครื่องผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี และโรงงานกระดาษคราฟในเวียดนาม โรงงานแห่งที่สอง กำลังการผลิตอีก 2.43 แสนตันต่อปี ส่งผลให้กำลังผลิตรวม 489,000 ตันต่อปี ขณะโรงปูนซีเมนต์ในลาว อยู่ระหว่างทดสอบเดินเครื่องผลิต ซึ่งถือว่าผลิตได้เร็วกว่าแผน อันจะทำให้มีสินค้าเพื่อรองรับความต้องการในตลาดได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี หลังการปรับตัวของราคาวัตถุดิบเคมีภัณฑ์ และต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้เตรียมรับมือไว้แล้ว ขณะธุรกิจซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ มีการแข่งขันสูง และจำนวนเพิ่มมากขึ้น ขณะความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างจะเพิ่มมากขึ้นตามโครงการเมกกะโปรเจกต์ของภาครัฐ ส่วนสินค้า HVA มียอดขาย 160,910 ล้านบาท หรือ 38% ของยอดรายได้รวม ซึ่งการเพิ่มรายได้การขายสินค้าชนิดนี้ถือเป็นการลดความเสี่ยงของรายได้รวมจากธุรกิจอื่นๆ ที่ผันผวนตามความต้องการในตลาด
นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการใช้งบสำหรับการวิจัยและพัฒนาว่า ปี 59 ใช้ไปกว่า 4,350 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน และเตรียมออกหุ้นเพื่อรีไฟแนนซ์ชุดเดิมที่จะครบดีล เมษายนนี้ 2.5 พันล้านบาท
โดยผลประกอบการกลุ่มเอสซีจี งวดสิ้นปี 59 กลุ่มมีรายได้ 423,442 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิ 56,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% ผลดีจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ราคาขายปรับดีขึ้น และรายได้จากการส่งออก 112,549 ล้านบาท หรือ 27% ของยอดขายรวม ขณะที่ธุรกิจของเอสซีจี ในเอาเซียนปี 59 เอสซีจีมีรายได้จากฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และการส่งออกไปยังอาเซียน 97,669 ล้านบาท หรือ 23% ของรายได้รวมลดลง 2% จากปีก่อน ผลจากการแข่งขันที่รุนแรน กอปรกับราคาสินค้าปรับลดลงด้วย อย่างไรก็ดี ปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 5-10%
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอีกในอัตราหุ้นละ 10.50 บาท หลังจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว หุ้นละ 8.50 บาท และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 27 เมษายนนี้