นายพอล แม็คเคล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยอัตราแลกเปลี่ยนตลาดเกิดใหม่ ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวถึงทิศทางสกุลเอเชียภายหลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ว่า ตามสถิติในอดีต สกุลเงินเอเชียมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ภายหลังการกล่าวสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยใน 100 วันแรกของการปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นห้วงเวลาสำคัญในการทำความเข้าใจกับนโยบาย และลำดับความสำคัญของนโยบายของเขา ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ เอชเอสบีซี คาดว่า ครั้งนี้สกุลเงินเอเชียจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับที่เคยเป็นมา โดยมีตลาดมีการคาดหวังค่อนข้างสูงว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกมาตรการทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่งต่อไป และหากมีสัญญาณที่ทรัมป์ อาจจะไม่ทำตามที่เคยเสนอไว้อย่างเต็มที่ สกุลเงินเอเชียจะมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น โดยเอสเอชบีซี ยังให้น้ำหนักกับเงินรูปีอินเดีย เงินรูเปียะห์อินโดนีเซีย เงินบาทไทย และเงินเปโซฟิลิปปินส์
สำหรับสุนทรพจน์ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประเด็นที่ก่อให้เกิดความกังวลต่อสกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่น่าจะมาจากถ้อยแถลงเชิงกีดกันทางการค้า ซึ่งทรัมป์ แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งใจจะถอนตัวจากข้อตกลงการค้า TPP และจะปราบปรามประเทศคู่ค้าที่ละเมิดข้อตกลงการค้า ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชาวอเมริกันในกระบวนการ ซึ่งการที่จีน และเกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ส่งออก 6 รายที่สำคัญของสหรัฐฯ การเจรจาการค้ากับประเทศเหล่านี้อาจจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ และหากสิ่งเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้น เชื่อว่าความผันผวนของค่าเงินเอเชียจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี สถิติในอดีตบ่งบอกว่า ยังมีเหตุผลหลายประการสำหรับการคงมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวกต่อสกุลเงินเอเชียในระยะต่อไป นั่นคือ มีแนวโน้มที่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินเอเชียจะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนแรกของการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนที่โมเมนตัมนี้จะเริ่มผ่อนคลายลง แนวโน้มดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับกระแสเงินทุนไหลกลับเข้าสู่เศรษฐกิจเอเชียมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี
โดยปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับมุมมองในภาพรวมต่อสกุลเงินเอเชียของเอชเอสบีซี คือ ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์จะไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังได้ และทำได้เพียงนโยบายที่ได้ลดความเข้มข้นลงจากเคยนำเสนอไว้ ขณะที่พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภามีโอกาสมากขึ้นที่จะผ่านกฎหมายได้สำเร็จในอดีต แต่การออกกฎหมายฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้อย่างแท้จริงมีจำนวนค่อนข้างน้อย คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.5 เท่านั้น
ดังนั้น เมื่อความตื่นเต้นของตลาดเกี่ยวกับประธานาธิบดีคนใหม่เริ่มจางหายไป สกุลเงินเอเชียน่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นในครึ่งหลังของปี ถึงแม้ว่าเราเชื่อว่า จะมีความเสี่ยงที่การฟื้นตัวดังกล่าวจะกลับมาเร็วกว่าที่คาดไว้ก่อนเสียด้วยซ้ำ