xs
xsm
sm
md
lg

“MBKET” ตั้งเป้ารายได้โต 15% ประเมิน SET Index แกว่ง 1,450-1,650 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เปิดแผนธุรกิจปีระกา ตั้งเป้ารายได้โตไม่น้อยกว่า 15% พร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม 25,000 บัญชี เน้นกระจายศูนย์ไซเบอร์เพื่อการลงทุนเพิ่ม คาดภาพรวมการลงทุนในหุ้นไทยดีกว่าปีก่อนอาจพุ่งทะยานแตะ 1,650 จุด แนะลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตต่อเนื่อง เช่น กลุ่มพลังงาน อาหาร และธนาคาร ที่ราคายังไม่ปรับตัวสูงขึ้น

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด หรือ MBKET กล่าวถึงแผนธุรกิจปี 2560 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี พ.ศ.2560 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% พร้อมทั้งเตรียมขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 25,000 บัญชี ส่วนเป้ามาร์เกตแชร์ที่ 9-10% โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้จะมาจาก ดอกเบี้ยรับที่ประมาณ 70% ส่วนที่เหลือจะมาจากค่านายหน้า 25% และธุรกิจวาณิชธนกิจประมาณ 5%

พร้อมกันนี้บริษัทฯ จะเปิดศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการลงทุน หรือไซเบอร์ บรานส์ มากกว่าเปิดสาขาเต็มรูปแบบ ซึ่งในปัจจุบัน MBKET มีสาขาทั้งหมด 59 สาขา แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ 36 สาขา และสาขาต่างจังหวัด 32 สาขา ขณะที่ในส่วนของการขยายสาขาไปยังต่างประเทศนั้น มีอยู่หลายประเทศในกลุ่ม AEC ยกเว้น เวียดนาม ลาว กัมพูชา และพม่า เนื่องจากเป็นตลาดเล็ก ซึ่งหากในอนาคต กลุ่มประเทศเหล่านี้มีการเติบโตมากขึ้น ก็คาดว่าจะเข้าไปลงทุนด้วยเช่นกัน

ด้านภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มองว่ามูลค่าการซื้อขายจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% หรือเติบโตขึ้น 8.8% เทียบก่อบปีก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 50,000-55,000 ล้านบาท

“ในส่วนของความกังวลเรื่องตัวบีอี ที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้นั้น เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนเรื่องเงินทุนในการพัฒนาธุรกิจ อีกทั้งบริษัทยังมีวงเงินสำรองที่จะสามารถกู้ได้จากสถาบันการเงิน และมีแหล่งเงินทุนจากกลุ่มบริษัทเมย์แบงก์ ในประเทศมาเลเซีย ให้การสนับสนุนอยู่ อย่างไรก็ตาม กระแสด้านลบของตั๋วบีอี ที่มีอยู่ในขณะนี้ มองว่าเป็นแค่เพียงวงจำกัดเท่านั้น และเป็นปัญหาระยะสั้น ซึ่งไม่กระทบต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นเท่าใดนัก”

ขณะที่ปัจจัยลบจากต่างประเทศมากกว่าที่จะเป็นตัวกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า โดยเฉพาะความไม่ชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจจากการเข้ารับตำแหน่งตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนถึงการเลือกตั้งในประเทศอิตาลี และการสรุปลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของประเทศอังกฤษ

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวเสริมว่า มุมมองของ MBKET ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่า ดัชนี SET Index ในปีนี้ประเมินว่า จะอยู่ในกรอบ 1,450-1,650 จุด โดยประมาณ ซึ่งในครึ่งปีแรกนั้น มองว่าดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นไปแตะ 1,650 จุด ได้บนระดับ P/E ที่ 16.50 เท่า และกำไรต่อหุ้น หรือ EPS จะอยู่ที่ 108 บาท หรือเติบโตเฉลี่ยที่ 10-11%

ขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนในส่วนของความสามารถในการทำธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในประเทศที่สามารถเติบโตได้จากความแข็งแกร่งของพื้นฐาน และการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยประเด็นสำคัญ ได้แก่ โครงการภาครัฐที่ได้เร่งเบิกจ่าย เพื่อพลักดันนโยบายทางการเงินต่างๆ ออกมามากขึ้น ซึ่งรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมในหลายๆ โครงการ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการขึ้นรับตำแหน่งของประธานาธิปดีสหรัฐฯ อย่างโดนัลล์ ทรัมป์ ที่ไม่ได้ประกาศนโยบายทางการเงินออกมายังไม่มีความชัดเจนมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้แรงกดดันต่อนโยบายกีดกันต่างๆ ยังไม่มีความชัดเจนตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป หากนโยบายทรัมป์ มีความชัดเจน อาจมีผลกระทบเชิงจิตวิทยาของนักลงทุนที่เป็นปัจจัยกดดันใหม่ จึงอาจทำให้ดัชนีปรับเข้าสู่แนวรับที่ 1,450 จุด ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่มีความน่าสนใจในการลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับทรงตัว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานโดยตรง นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ยังทำผลประกอบการได้ค่อนข้างดี อีกทั้งกลุ่มโภคภัณฑ์ ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นสัดส่วน 60% ของพอร์ต โดยมีหุ้นเด่นแนะนำ ได้แก่ PTT, IVL, CK, TU, SCB เป็นต้น และส่วนที่เหลือแนะนำลงทุนในพันธบัตร 30% และส่วนที่เหลืออีก 10% กลุ่มอื่นๆ อย่างเช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น