บล.ยูบีเอส เผยรายงานการคาดการณ์เศรษฐกิจในเอเชียปี 2560 อาจเติบโตต่ำลง หากไม่รวมญี่ปุ่น ประเทศไทยยังชะลอตัว แต่จะดีอีกครั้งปี 2561 จากการปรับงบดุล
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูบีเอส เอเชีย จำกัด หรือ UBS Securities Asia Limited สถาบันการเงิน การบริหารความมั่งคั่ง และการบริหารจัดการสินทรัพย์ระดับโลกจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้จัดทำรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียในปี พ.ศ. 2560 ระบุทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้อาจชะลอตัว เนื่องจากแรงกระตุ้นเชิงบวกที่ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แต่เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาดีขึ้นได้อีกครั้งในปี พ.ศ.2561 โดยการปรับงบดุล
เศรษฐกิจในประเทศไทย
บล.ยูบีเอส ยังระบุด้วยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศไทยปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 2.5 ซึ่งโดยรวมแล้วต่ำกว่าการคาดการณ์อื่นๆ เนื่องจากแรงกระตุ้นเชิงบวกที่กำลังจะสิ้นสุดลง และวงจรสินเชื่อในช่วงขาลง (Credit cycle) และจากการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสืบเนื่องมาจากการขยายตัวของสินเชื่อในช่วงปี พ.ศ. 2553-2557 ทั้งหมดนี้แสดงถึงการจัดสรรเงินทุนที่ผิดพลาด และความจำเป็นที่จะต้องปรับงบดุล แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวก็น่าจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะหากงบดุลได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้รายได้มวลรวมประชาชาติของปีหน้า (2561) ปรับตัวขึ้นถึงราวร้อยละ 3 ก็เป็นได้
บล.ยูบีเอส มีความเห็นว่า ความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบายการคลัง ส่งผลให้ไม่สามารถคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจของไทยได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นไปได้ที่จะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่รอคอยมาอย่างยาวนาน ในช่วงของรัฐบาลทหารก่อนจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้งยังอาจส่งผลให้เอกชนชะลอการลงทุน
ทั้งนี้ จากการประเมินของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ระบุว่า ผลจากแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2558 จนถึงช่วงต้นปี พ.ศ.2559 จะหมดไปในปีนี้ และปีหน้า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คาดการณ์ว่า จะเกิดขึ้น และถูกใช้ในการประเมินภาพเศรษฐกิจในครั้งนี้
สำหรับในส่วนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ซึ่งจากการคาดการณ์เศรษฐกิจไทย ยูบีเอส เชื่อว่า อัตราดอกเบี้ยสำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะถูกปรับลงในช่วงต้นปีนี้จากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่น่าพอใจนัก
อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูจะไม่มีแนวโน้มในการผ่อนปรนนโยบายลงเลย เพราะความกังวลในเสถียรภาพทางการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของไทยที่อาจจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดเช่นเดียวกับอีกหลายๆ ประเทศในภูมิภาคนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยูบีเอส คาดว่า อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2561
ทั้งนี้ หากว่าดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ และมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ย่อมเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนของภาคเอกชน และอาจจะทำให้การส่งออกฟื้นตัวกลับมาเติบโตใกล้เคียงเลขสองหลักมากขึ้น (ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่ใช้ในการประเมินครั้งนี้) อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากหนี้เสียที่ส่งสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการแก้ไขงบดุลแล้ว ธุรกิจของภาคเอกชนอาจจะเลือกชะลอการลงทุนจนกว่าการเมืองจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรกรรมซึ่งคิดเป็นร้อยละ 9 ของจีดีพี และร้อยละ 35-40 ของการจ้างงานทั้งหมด ถูกมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกในการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้หลังจากที่หดตัวลงร้อยละ 4 ในปี พ.ศ.2558 จากสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย โดยปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยการบริโภคให้เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก เมื่อเทียบตามสัดส่วนที่ภาคเกษตรกรรมมีผลต่อจีดีพี
นอกจากนี้ การบริโภคอาจเพิ่มขึ้นจากการหมดภาระชำระหนี้จากโครงการรถคันแรกเมื่อปี พ.ศ.2555 ก็เป็นได้เช่นกัน แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อใหม่ และความต้องการก่อหนี้อาจจะลดลงจากระดับหนี้ครัวเรือนที่โดยทั่วไปยังคงสูงอยู่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนในทางกลับกันนั้น แม้ว่าการท่องเที่ยวอาจลดบทบาทในการกระตุ้นการบริโภคลงอันเนื่องมาจากระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้นต่อนักท่องเที่ยวชาวจีน อย่างไรก็ตาม ทั้งการท่องเที่ยว การลงทุนของภาคเอกชนที่ลดลง รวมไปถึงการขยายตัวของสินเชื่อที่ไม่สูงมาก จะยังคงรักษาการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่สูงขึ้นไว้ได้ ขณะเดียวกัน ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยังทำให้ไทยลดความเสียเปรียบในการแข่งขันจากการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP)
ทั้งนี้ แม้ว่านโยบายของสหรัฐฯ จะยังคงส่งผลกระทบต่อการค้ากับไทยก็ตาม ยูบีเอส คาดว่า การเกินดุลครั้งนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 5-10 ของจีดีพีในปีนี้ และปีหน้า แม้จะอยู่ท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม จึงเป็นผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนน้อยกว่าค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาค แต่ถึงอย่างนั้น ก็อาจจะเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนนโยบายทางการเงินใหม่อีกครั้งก็เป็นได้
เศรษฐกิจในเอเชีย แปซิฟิก
สำหรับเอเชีย แปซิฟิก ยูบีเอส คาดว่า จีดีพีของเอเชีย ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น จะเติบโตต่ำลงอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ในปีนี้ (2560) และ 5.8 ในปีหน้า (2561) เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังคงมีแนวโน้มจะซบเซาเช่นเดิม ซึ่งเป็นผลจากปริมาณหนี้ของภาคเอกชนภายในภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา และกลายเป็นภูมิภาคที่มีหนี้ภาคเอกชนสูงที่สุดในโลก หลังใช้วิธีการก่อหนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการส่งออกซบเซา และมีเพียงประเทศอินเดียเท่านั้น ที่ถูกมองว่า จะเติบโตด้วยอัตราที่สูงกว่าการเติบโตโดยรวมของภูมิภาค
นอกจากนี้ มูลค่าการส่งออกในรูปแบบมูลค่าดอลลาร์สหรัฐนั้น ก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้นราวร้อยละ 5 ในปีนี้ จากที่หดตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา จากการที่ภาวะหนี้ของภาคเอกชนที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้การบริโภคยังคงอยู่ในภาวะซบเซา รวมไปถึงมูลค่าการส่งออกในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นนั้น มาจากการประเมินราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นถึง 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือสูงขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะสูงขึ้น จะส่งผลให้มีแนวโน้มเกิดภาวะเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2554
ขณะเดียวกัน นโยบายการคลังของเอเชียก็มีลักษณะเป็นนโยบายเชิงรับมากกว่าเชิงรุก หนี้ภาครัฐของประเทศในแถบนี้ (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) อยู่ในระดับต่ำ และขาดดุลทางการคลังเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นโยบายปัจจุบันของประเทศเหล่านี้ไม่เน้นการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย โดยรัฐบาลส่วนใหญ่ประกาศแผนงบประมาณในช่วง 2 ปี โดยไม่กระตือรือร้นที่จะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจเอเชียนั้น มาจากความร่วมมือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งการชนะการเลือกตั้งของทรัมป์ อาจทำให้ปัจจัยนี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะจากการดำเนินนโยบายของพรรครีพับลิกันในอดีต พรรคมีแนวโน้มที่จะลดภาษีโดยไม่ลดการใช้จ่าย ซึ่งถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็วขึ้นมา ก็อาจจะทำให้ประเทศอื่นๆ คล้อยตามการใช้นโยบายแบบเดียวกันทั่วโลก แม้จะมีความเสี่ยงสูงในการควบคุมอัตราดอกเบี้ย และการเกิดภาวะเงินเฟ้อก็ตาม
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงปัจจัยบวก ที่อาจมาจากนโยบายทางเศรษฐกิจของผู้นำคนใหม่ของจีนด้วยเช่นกัน ในขณะที่ปัจจัยลบนอกเอเชีย น่าจะมาจากการที่เหล่าผู้นำแนวชาตินิยมได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้มีการนำมาตรการกีดกันทางการค้ามาใช้มากขึ้น ส่วนปัจจัยลบภายในเอเชียน่าจะมาจากการซบเซาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น หรือความต้องการซื้อเปลี่ยนแปลงไป จนอาจกลายเป็นความท้าทายของรัฐบาลจีนในการรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าว