นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2559 ธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 12,434 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.74% จากปีก่อน ซึ่งเป็นกำไรที่เป็นสถิติใหม่ และตอกย้ำความสามารถในการทำกำไรด้วยกำไรสุทธิที่เติบโตต่อเนื่องติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 8 แล้ว โดยเป็นผลจากการมุ่งเน้นการรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริหารต้นทุนเงินฝากอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มฐานรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการ ขณะที่ยอดสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 10 ติดต่อกัน ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ 2.29% และอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 151.16% ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.15%
สำหรับในปี 2560 ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าให้มาใช้ธนาคารธนชาต เป็นธนาคารหลักในการทำธุรกรรม (Main Bank) ด้วยการมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นช่องทางให้บริการทางการเงินที่ง่าย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แก่ลูกค้าบนพื้นฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานในระดับสากล อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าใช้ชีวิตได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรในเวลาเดียวกัน ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งเพื่อตอบโจทย์ช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ด้วยผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีความทันสมัย และครบครัน ผนวกกับบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญเป็นอย่างดี จะช่วยส่งเสริมให้ลูกค้าเลือกใช้ธนาคารของเราเป็นธนาคารหลักในการทำธุรกรรม
นายปีเตอร์ เบสซี่ รองประธานกรรมการบริหารและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มในการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ที่มากขึ้น ธนาคารได้เปิดให้บริการโมบายแบงกิ้งผ่านช่องทางโมบายแอปพลิเคชั่น ภายใต้ชื่อ “Thanachart Connect” เพื่อมุ่งเน้นตอบสนองการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าให้สามารถทำธุรกรรมได้ต่อติดทุกรายการ ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งธนาคารได้รับกระแสการตอบรับที่ดี ซึ่งธนาคารตั้งเป้าหมายว่า ในปีนี้จะมียอดผู้ใช้งานโมบายแอปพลิเคชั่นเติบโตแบบก้าวกระโดด