นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ธนาคารประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อย ปัจจัยหลักๆ ยังคงไม่ต่างจากเดิมนัก โดยคาดว่า จีดีพีจะเติบโตประมาณ 3-3.5% จากปีก่อนที่คาดว่า จะเติบโตได้ 3.2% และปัจจัยที่ต้องจับตาดูต่อไปเป็นความถี่ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด เนื่องจากจะส่งผลกระทบในวงกว้างรวมถึงไทยด้วย
สำหรับสินเชื่อของธนาคารในปีนี้น่าจะทรงตัวในระดับเดิม ดีขึ้นจากปีก่อนที่ลดลง 5.6% เป็นมาจากยอดขายรถที่คาดการณ์ว่า จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่ภาระผ่อนชำระโครงการรถคันแรกทยอยหมดลง รวมถึงการลงทุนภาครัฐบาลที่จะมีชีวิตความชัดเจนมากขึ้น
“สินเชื่อที่เราประเมินในตอนนี้ยังไม่ได้รวมในส่วนของธุรกิจรายย่อยที่โอนมาจากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ประมาณ 40,000 ล้านบาท เพราะตัวเลขยังไม่สุทธิจนกว่าขั้นตอนต่างๆ จะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี แต่ในเบื้องต้น ตามตัวเลขคร่าวๆ ก็จะเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ของพอร์ตสินเชื่อธนาคารขณะนี้ 2.2 แสนล้านบาท”
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า แนวทางในการดำเนินธุรกิจของธนาคารภายหลังการรับโอนธุรกิจรายย่อยมาจากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์นั้น ในส่วนของสินเชื่อยังคงปล่อยกู้อย่างรัดกุมเช่นเดิม ขณะเดียวกัน ก็จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ mobile banking เพื่อรองรับด้านเงินฝาก โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงไตรมาส 2 หรือ 3 ของปีนี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อรองรับกลุ่ม wealth management ด้วย
ส่วนผลประกอบการในปี 2559 นั้น ธนาคารมีกำไรสุทธิ 5,005.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลงด้วย ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 2.54% ลดลงจากปีก่อนที่ 3.25% โดยในปีนี้ก็น่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกัน ด้านความแข็งแกร่ง ธนาคารมีสัดส่วนเงินสำรองหนี้สูญต่อเอ็นพีแอล เพิ่มขึ้นมาที่ 140% และมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์อยู่ที่ 19.8% สูงกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 9.125%