นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า เอชเอสบีซีได้ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 59 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 จากร้อยละ 2.8 และปรับเพิ่มการคาดการณ์สำหรับทั้งปี 60 และ 61 มาที่ร้อยละ 3.2 จากเดิมร้อยละ 2.8 และ 3.0 ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจได้ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ในสามไตรมาสแรกของปี 59 สูงกว่าการคาดการณ์ไว้ แม้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งจะมาจากการนำเข้าพลังงาน และสินค้าทุนที่ลดลงก็ตาม อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกภาคบริการ (ส่วนใหญ่เป็นการท่องเที่ยว) ขยายตัวได้ดีกว่าคาด และแรงขับเคลื่อนเหล่านี้ยังช่วยชดเชยภาวะซบเซาของการส่งออกสินค้า การลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการปรับลดสินค้าคงคลังได้บางส่วน
สำหรับในปี 60 คาดการณ์ว่า การลงทุนภาครัฐจะยังคงเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังจากที่เร่งตัวขึ้นมากในปี 59 เนื่องจากว่าหลายโครงการโครงสร้างพื้นฐานได้พัฒนาไปสู่ลำดับการประกวดราคา หรือการก่อสร้างแล้ว โดยได้รับผลดีมาจากการที่รัฐบาลได้มีแผนปฏิบัติการประจำปีออกมาเพื่อให้ความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของโครงการสำคัญ และเร่งด่วน นอกจากนี้ คาดว่ากระบวนการปรับลดสินค้าคงคลัง หรือ destocking ที่ส่งผลให้การเติบโตของจีดีพี ลดลงมากถึงประมาณ 3.0pp ในสามไตรมาสแรกของปี 59 จะพลิกกลับมาเป็นผลบวกต่อจีดีพี ในปี 60
อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนจากภายนอก (เช่น นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย) มีแนวโน้มที่จะทำให้การส่งออกของไทยยังคงขยายตัวต่ำ แม้ว่าผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมจะลดน้อยลงจากปี 59 ก็ตาม อย่างน้อย ไทยยังสามารถรักษาสัดส่วนตลาดของสินค้าส่งออกได้ในตลาดส่วนใหญ่ ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ผลกระทบชั่วคราวจากมาตรการปราบปรามผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวบางส่วนที่ทำผิดกฎ
ทั้งนี้ จากมุมมองที่ออกมาในเชิงบวกมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งได้คำนึงถึงพื้นที่การดำเนินนโยบายการคลังที่ยังคงมีเพียงพอ โดยงบขาดดุลงบประมาณปี 60 ที่ 3.9 แสนล้าน (ร้อยละ 2.7 ของจีดีพี) ของรัฐบาลยังสามารถที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกร้อยละ 50 ตามกฎหมายหากมีความจำเป็น ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มอีก 1.9 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ซึ่งคาดว่าจะน่าจะผ่านความชอบของ สนช.ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ และทำให้การขาดดุลเพิ่มเป็นร้อยละ 3.3 แต่ถึงกระนั้น คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ในอีกสองปีข้างหน้า (สิ้นปีงบประมาณ 61) ขณะที่สภาพคล่องในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของเงินฝาก และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจคงยังจะไม่สามารถกลับไปขยายตัวในระดับสูงดังเช่นช่วงก่อนวิกฤตการเงินโลก ค.ศ.2008 ได้ โดยหนี้ภาคครัวเรือนที่สูง และคุณภาพสินเชื่อที่ลดลงในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก และขนาดกลาง ยังคงเป็นปัจจัยต่อการเติบโต นอกจากนี้ การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ยังต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนในภาคการเกษตร ทั้งนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยยังคงมีอยู่ เช่น การออมของครัวเรือนที่อยู่ในระดับต่ำ โครงสร้างประชากรที่มีความชราภาพมากขึ้น และความสามารถด้านการแข่งขันภาคส่งออกที่ลดลง เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ เพื่อรักษาพื้นที่นโยบายในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขณะที่แรงกดดันด้านราคาน่าจะอยู่ในวงจำกัดต่อไป แม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจอาจจะสูงกว่าที่คาด โดยล่าสุด ได้ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อของทั้งปี 60 และ 61 ลงมาที่ร้อยละ 1.7 และ 2.0 จากเดิมร้อยละ 2.0 และ 2.1 ตามลำดับ
ด้านนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่า ธปท.จะคงแนวนโยบายลดความผันผวนในระยะสั้นต่อไป แต่คงไม่พยายามที่จะต้านแนวโน้มของตลาดโลก หรือแรงกดดันที่มาจากการเปลี่ยนแปลงด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทถ่วงน้ำหนัก (Nominal Effective Exchange Rate) ยังค่อนข้างมีเสถียรภาพ ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระดับเงินทุนสำรองต่างประเทศที่เพียงพอ และเสถียรภาพภายนอกที่ดีของเศรษฐกิจไทย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเป็นกรณีความล่าช้าในการลงทุนของภาครัฐที่อาจเกิดขึ้นช่วงใกล้การเลือกตั้ง รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจต่ำกว่าคาด ความผันผวนในตลาดการเงินโลกซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรม และการตัดสินใจของภาคธุรกิจ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่อาจจะน้อยกว่าคาดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศไทย หรือจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ บางส่วนของแผนการปฏิรูปที่สำคัญอาจจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 60 เช่น พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ และ พ.ร.บ. การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น กฎหมายเหล่านี้จะช่วยผลักดันขีดความสามารถของการเติบโตเศรษฐกิจให้สูงขึ้นผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ และการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ดี คาดว่าแผนการลงทุน และนโยบายของรัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานมีการเปลี่ยนแปลงน้อยในอดีต จึงน่าจะมีความต่อเนื่องในช่วงต่อไป