ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องกรณี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลยที่ 1 ผู้ว่าฯ สระบุรี, นายก อบต.ห้วยแห้ง และ เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) ต่อศาลปกครองสูงสุดในปี 2556 กรณีไม่สั่งปิดศูนย์กำจัดกากอุตสาหกรรมของ BWG ตามที่ร้องขอ เผยมั่นใจความยุติธรรมของศาล เชื่อคำตัดสินสะท้อนการประกอบธุรกิจที่ถูกต้องไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชน
นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายกฟ้องยืนตามศาลปกครองกลางตามคดีหมายเลขแดงที่ อ.1121/2559 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 ในคดีที่มีผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางตามคดีหมายเลขดำที่ 863/2552 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2552 กล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแห้ง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) และบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ในคดีที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หลังจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้สั่งปิดศูนย์บริหาร และจัดการกากอุตสาหกรรมในจังหวัดสระบุรี ของบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ
ทั้งนี้ ในคดีดังกล่าวศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 แต่ผู้ฟ้องคดีไม่พอใจในผลของคำพิพากษา จึงได้ยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าวไปยังศาลปกครองสูงสุด และบริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดอย่างครอบคลุมครบถ้วน เพื่อขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้รับคำแก้อุทธรณ์ของบริษัทฯ ไว้พิจารณา และพิพากษายกฟ้องยืนตามศาลปกครองกลางดังกล่าว
“หลังจากที่ต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐานมาอย่างยาวนาน คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ได้มีคำพิพากษายกฟ้องในครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดของคดีที่ฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้คดีที่มีกลุ่มบุคคลยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุดทั้ง 2 คดี คือ คดีที่ฟ้องขอให้ปิดกิจการ และยึดใบอนุญาตประกอบกิจการของบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) และคดีฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐละเลยหน้าที่ไม่สั่งปิดกิจการตามที่มีการร้องขอได้สิ้นสุดลงเรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯ น้อมรับคำตัดสินของศาลทุกประการ เชื่อในความยุติธรรมของศาล ซึ่งผลการตัดสินที่ออกมาสะท้อนว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจการถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และไม่ได้สร้างผลกระทบให้กับชุมชนตามที่มีผู้กล่าวหา ซึ่งมั่นใจว่า ทั้งผู้ถือหุ้น และนักลงทุนจะเชื่อมั่นในการลงทุนกับบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) มากยิ่งขึ้น” นายสุวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ คดีที่มีกลุ่มบุคคลฟ้องในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ต่อศาลปกครองมี 2 คดี โดยคดีแรกกลุ่มบุคคลร่วมกันฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง โดยมีหน่วยงานทางราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ในขั้นตอนการออกใบอนุญาตประกอบกิจการของหน่วยงานราชการให้แก่บริษัทฯ มีความไม่ถูกต้อง และร้องขอให้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานรับฝังกลบสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ที่ไม่อันตราย และที่เป็นอันตราย และให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และให้ทางบริษัทฯ ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้กับราษฎรที่เดือดร้อน และเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2556 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อไปยังศาลปกครองสูงสุดในปีเดียวกัน และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2556 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายกฟ้องยืนตามศาลปกครองกลาง โดยให้ยกฟ้องอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีในทุกประเด็น
สำหรับคดีที่ 2 ในเดือนมิถุนายน 2552 มีกลุ่มบุคคลร่วมกันฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแห้ง เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 โดยกล่าวหาว่า เป็นเจ้าที่ของรัฐละเลยการใช้อำนาจปฏิบัติหน้าที่ โดยทำให้เกิดความล่าช้าตามมาตรา 9 วรรค 1 (2) พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง หลังจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้สั่งปิดศูนย์บริหาร และจัดการกากอุตสาหกรรมในจังหวัดสระบุรี ของบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ โดยในคดีนี้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 และต่อมาในปีเดียวกัน กลุ่มบุคคลร่วมกันฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด และล่าสุด ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายืนตามศาลปกครองกลางให้ยกฟ้องในคดีดังกล่าว ซึ่งถือว่าสิ้นสุดในทุกประเด็นฟ้อง