คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ เผยครึ่งปีหลังเดินหน้ายื่นประมูลต่อเนื่องคาดได้งาน 50% ของมูลค่างานทั้งสิ้น 1 พันล้านบาท เผยอยู่ระหว่างเจรจารับงานตกแต่งในญี่ปุ่น ขณะครึ่งปีหลัง คาดฟื้นตัวขึ้นจากครึ่งปีแรก มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะยังทำได้เติบโต 20-25% จากปีก่อน
นายชยวัฒน์ พิเศษสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ K เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีงานที่รอเข้ายื่นประมูล และอยู่ระหว่างรอผลการประมูล ทั้งงานการจัดแสดงสินค้า และการจัดโชว์ผลงานอื่นๆ (Exhibition) และงานตกแต่งภายใน และออกแบบภายใน (Interior) ในช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่ารวมราว 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นงาน Exhibition มูลค่า 200-300 ล้านบาท และงาน Interior มูลค่า 700-800 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นงานตกแต่งภายในของโรงแรม มูลค่าราว 300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือแป็นงานตกแต่งภายในเพื่อปรับปรุงห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงาน โดยบริษัทคาดหวังจะได้รับงานราว 50% ของมูลค่างานทั้งหมด
และในช่วงปลายปีนี้บริษัทยังได้รับงานใหญ่ที่เป็นงาน Exhibition อีก 1 งาน เพิ่มเติมจากการจัดงาน Motor Expo คือ ITU Telecom World 2016 ในวันที่ 14-17 พฤศจิกายน 59 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีมูลค่างานส่วนกลางอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมมูลค่างานของการตกแต่งบูทของผู้ประกอบการต่างๆ ที่จะเข้ามาร่วมงาน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับงานขนาดใหญ่ตกแต่งภายในให้กับห้างสรรพสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่กำลังจะมาเปิดในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับงานดังกล่าว โดยงานนี้จะเริ่มในอีก 2 ปีข้างหน้า
นายชยวัฒน์ กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมตกแต่งภายในในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยจะเห็นว่าห้างสรรพสินค้าของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างๆ เริ่มมีการลงทุนกันมากขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่ามีโอกาสที่เข้าไปรับงานค่อนข้างสูง ส่วนงานการจัดงานแสดง (Exhibition) ยังมีการจัดงานอย่างต่อเนื่องและมีจำนวนเพิ่มขึ้น อีกทั้งการขยายพื้นที่ของศูนย์แสดงสินค้าไบเทคบางนา จะเป็นโอกาสให้บริษัทมีการเติบโตที่ดีขึ้น
ส่วนภาพรวมทั้งปีบริษัทยังมั่นใจว่า รายได้ในปีนี้จะยังทำได้เติบโต 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 954.44 ล้านบาท ซึ่งรายได้จะแบ่งสัดส่วนออกเป็นรายได้จากงาน Interiors 50% และรายได้จากงาน Exhibition 40% อีกทั้งบริษัทยังมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่ยังรอรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ที่ 850 ล้านบาท
บริษัทยังอยู่ในระหว่างดำเนินการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเพิ่ม Business Unit เป็น 4 Unit จากเดิมที่มีอยู่ 3 Unit เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเข้ารับงาน โดยเฉพาะงาน Interior ให้กับ End User เช่น งานออกแบบตกแต่งห้องพัก Hi-end condominium ให้กับชาวต่างขาติ คาดว่าในอนาคตจะมีงานลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง
ปัจจุบัน บริษัทเริ่มเข้ารับงานดังกล่าวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจออกแบบ และตกแต่งภายในจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าธุรกิจงานแสดงสินค้า และนิทรรศการ โดยปีนี้บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจออกแบบ และตกแต่งภายในอยู่ที่ราว 60% และธุรกิจงานแสดงสินค้า และนิทรรศการ รวมถึงงานอื่นๆ อยู่ที่ 40% ขณะที่คาดว่าในอีก 3-5 ปีของธุรกิจออกแบบ และตกแต่งภายในจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย
นายชยวัฒน์ กล่าวถึงแผนขยายตลาดในต่างประเทศว่า บริษัทยังคงเน้นการขยายการรับงานในเมียนมา ลาว และกัมพูชา เป็นหลัก เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับประเทศไทย ทำให้การบริหารจัดการไม่ยุ่งยาก หรือซับซ้อนมากนัก ซึ่งต่อจากนี้ไปสาขาในต่างประเทศจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุค 4.0 ที่ประชาชน และผู้บริโภคสามารถเข้าถึง และรับรู้ถึงความเจริญความทันสมัยของสิ่งต่างๆ ส่งผลให้ในหลายๆ ประเทศมีความต้องการที่จะพัฒนาให้มีความทันสมัย ทัดเทียมกับประเทศที่เจริญแล้วเพิ่มสูงขึ้น
“ความร่วมมือกับทางสิงคโปร์ในครั้งนี้จะเน้นที่การพัฒนาธุรกิจร่วมกัน มีการรับงานร่วมกัน ส่งลูกค้าให้กันผ่าน technical know how ในการทำแบรนด์ช็อปแต่ละแบรนด์ จัดทำสัมมนาภายในร่วมกันทั้ง 19 ออฟฟิศ ในหัวข้อต่างๆ เช่น marketing, project management และ design forum เป็นต้น
ส่วนภาพรวมของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา เราปรับกลยุทธ์ในการขยายตลาดไปยังงานออกแบบ และตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล, ภัตตาคาร, Hi-end condominium, อาคารสำนักงานต่างๆ ซึ่งมูลค่า และขนาดพื้นที่ของงานจะสูงกว่าค่อนข้างมาก ความยากของงานจะน้อยกว่า อีกทางหนึ่งเรากำลังขยายทีมเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดตกแต่งภายในที่กำลังจะขยายเยอะมากในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า” นายชยวัฒน์ กล่าว
นายชยวัฒน์ พิเศษสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ K เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีงานที่รอเข้ายื่นประมูล และอยู่ระหว่างรอผลการประมูล ทั้งงานการจัดแสดงสินค้า และการจัดโชว์ผลงานอื่นๆ (Exhibition) และงานตกแต่งภายใน และออกแบบภายใน (Interior) ในช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่ารวมราว 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นงาน Exhibition มูลค่า 200-300 ล้านบาท และงาน Interior มูลค่า 700-800 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นงานตกแต่งภายในของโรงแรม มูลค่าราว 300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือแป็นงานตกแต่งภายในเพื่อปรับปรุงห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงาน โดยบริษัทคาดหวังจะได้รับงานราว 50% ของมูลค่างานทั้งหมด
และในช่วงปลายปีนี้บริษัทยังได้รับงานใหญ่ที่เป็นงาน Exhibition อีก 1 งาน เพิ่มเติมจากการจัดงาน Motor Expo คือ ITU Telecom World 2016 ในวันที่ 14-17 พฤศจิกายน 59 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีมูลค่างานส่วนกลางอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมมูลค่างานของการตกแต่งบูทของผู้ประกอบการต่างๆ ที่จะเข้ามาร่วมงาน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับงานขนาดใหญ่ตกแต่งภายในให้กับห้างสรรพสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่กำลังจะมาเปิดในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับงานดังกล่าว โดยงานนี้จะเริ่มในอีก 2 ปีข้างหน้า
นายชยวัฒน์ กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมตกแต่งภายในในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยจะเห็นว่าห้างสรรพสินค้าของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างๆ เริ่มมีการลงทุนกันมากขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่ามีโอกาสที่เข้าไปรับงานค่อนข้างสูง ส่วนงานการจัดงานแสดง (Exhibition) ยังมีการจัดงานอย่างต่อเนื่องและมีจำนวนเพิ่มขึ้น อีกทั้งการขยายพื้นที่ของศูนย์แสดงสินค้าไบเทคบางนา จะเป็นโอกาสให้บริษัทมีการเติบโตที่ดีขึ้น
ส่วนภาพรวมทั้งปีบริษัทยังมั่นใจว่า รายได้ในปีนี้จะยังทำได้เติบโต 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 954.44 ล้านบาท ซึ่งรายได้จะแบ่งสัดส่วนออกเป็นรายได้จากงาน Interiors 50% และรายได้จากงาน Exhibition 40% อีกทั้งบริษัทยังมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่ยังรอรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ที่ 850 ล้านบาท
บริษัทยังอยู่ในระหว่างดำเนินการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเพิ่ม Business Unit เป็น 4 Unit จากเดิมที่มีอยู่ 3 Unit เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเข้ารับงาน โดยเฉพาะงาน Interior ให้กับ End User เช่น งานออกแบบตกแต่งห้องพัก Hi-end condominium ให้กับชาวต่างขาติ คาดว่าในอนาคตจะมีงานลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง
ปัจจุบัน บริษัทเริ่มเข้ารับงานดังกล่าวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจออกแบบ และตกแต่งภายในจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าธุรกิจงานแสดงสินค้า และนิทรรศการ โดยปีนี้บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจออกแบบ และตกแต่งภายในอยู่ที่ราว 60% และธุรกิจงานแสดงสินค้า และนิทรรศการ รวมถึงงานอื่นๆ อยู่ที่ 40% ขณะที่คาดว่าในอีก 3-5 ปีของธุรกิจออกแบบ และตกแต่งภายในจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย
นายชยวัฒน์ กล่าวถึงแผนขยายตลาดในต่างประเทศว่า บริษัทยังคงเน้นการขยายการรับงานในเมียนมา ลาว และกัมพูชา เป็นหลัก เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับประเทศไทย ทำให้การบริหารจัดการไม่ยุ่งยาก หรือซับซ้อนมากนัก ซึ่งต่อจากนี้ไปสาขาในต่างประเทศจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุค 4.0 ที่ประชาชน และผู้บริโภคสามารถเข้าถึง และรับรู้ถึงความเจริญความทันสมัยของสิ่งต่างๆ ส่งผลให้ในหลายๆ ประเทศมีความต้องการที่จะพัฒนาให้มีความทันสมัย ทัดเทียมกับประเทศที่เจริญแล้วเพิ่มสูงขึ้น
“ความร่วมมือกับทางสิงคโปร์ในครั้งนี้จะเน้นที่การพัฒนาธุรกิจร่วมกัน มีการรับงานร่วมกัน ส่งลูกค้าให้กันผ่าน technical know how ในการทำแบรนด์ช็อปแต่ละแบรนด์ จัดทำสัมมนาภายในร่วมกันทั้ง 19 ออฟฟิศ ในหัวข้อต่างๆ เช่น marketing, project management และ design forum เป็นต้น
ส่วนภาพรวมของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา เราปรับกลยุทธ์ในการขยายตลาดไปยังงานออกแบบ และตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล, ภัตตาคาร, Hi-end condominium, อาคารสำนักงานต่างๆ ซึ่งมูลค่า และขนาดพื้นที่ของงานจะสูงกว่าค่อนข้างมาก ความยากของงานจะน้อยกว่า อีกทางหนึ่งเรากำลังขยายทีมเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดตกแต่งภายในที่กำลังจะขยายเยอะมากในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า” นายชยวัฒน์ กล่าว