ข่าวหนุ่มที่ดำเนินธุรกิจร้านซักอบรีดเกิดอาการเครียดเพราะขาดทุนหุ้นจนทำร้ายภรรยา ก่อนจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายในพื้นที่เขตสวนหลวง คงทำให้ชาวหุ้นรู้สึกสลดหดหู่กันไม่มากก็น้อย
ไม่มีใครเข้าใจหัวอกคนที่เสียหุ้นเท่านักลงทุนด้วยกันเอง แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมต้องระบายอารมณ์ด้วยการเตะภรรยาที่ตั้งครรภ์ 8 เดือน ก่อนคิดสั้นฆ่าตัวตาย
ไม่มีข้อมูลว่า เจ้าของร้านซักอบรีดรายนี้ขาดทุนไปเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ และขาดทุนหุ้นตัวไหนบ้าง แต่ถึงเจ๊งไปเท่าไหร่ก็ตามไม่ควรต้องคิดมาก หรือรับไม่ได้ต่อความสูญเสียจนมีเรื่องทะเลาะกับภรรยา กระทั่งถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน
โศกนาฏกรรมของผู้ที่ได้รับความสูญเสียจากหุ้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่กี่เดือนก่อนหน้าก็มีข่าวข้าราชการเกษียณฆ่าตัวตายเพราะขาดทุนหุ้น
และประมาณ 10 ปีก่อน มีนักธุรกิจที่ต้องหมดเนื้อหมดตัวเพราะลงทุนในตลาดหุ้น จนตัดสินใจฆ่ายกครอบครัวรวม 5 ศพ ทั้งลูก ภรรยา ก่อนจะใช้ปืนกระบอกเดียวกันปลิดชีพตัวเอง
ใครที่เที่ยวชักชวนให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต้องตระหนักไว้ เพราะอาจสร้างบาปกรรมได้ถ้าคนทีชักชวนมาหมดตัวเพราะหุ้น
ส่วนคนที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ถามตัวเองก่อนว่ารับได้ต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ และรับความเสียหายได้ขนาดไหนเพื่อจำกัดความเสียหายไว้แต่ต้น
ไม่ใช่ว่ามีเงินเท่าไหร่ใส่ลงมาทั้งหมด เมื่อเสียหายทั้งก้อนจึงกระทบต่อฐานะของครอบครัว กลายเป็นความกดดัน ตามมาด้วยความเครียด และหากสภาพจิตไม่เข้มแข็งพออาจคิดสั้นได้เหมือนนักลงทุนหลายต่อคนที่ขนเงินมาทิ้งในตลาดหุ้น
นักลงทุนที่ดีต้องมีวินัย ต้องจัดสรรปันส่วนเงินที่จะนำมาลงทุนในหุ้น โดยเงินที่นำมาซื้อขายหุ้นถ้าเกิดผิดพลาดต้องไม่ส่งกระทบถึงขั้นทำให้ฐานะทางครอบครัวต้องล่มสลาย
และนักลงทุนที่ดีต้องไม่ลงทุนอย่างเอาเป็นเอาตาย และถ้าเสียหายจากหุ้นต้องไม่เครียดถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ถ้าทำใจยอมรับการขาดทุนไม่ได้ ไม่ควรเดินเข้ามาในตลาดหุ้นตั้งแต่แรก เพราะทุกคนมีสิทธิ “จน” จากตลาดหุ้นโดยเท่าเทียม
ไม่มีใครอยากเห็นโศกนาฏกรรมในตลาดหุ้น แต่ตลาดหุ้นกลับเกิดโศกนาฏกรรมอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีผู้ใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์
ส่วนนักลงทุนได้แต่ทำใจ ถือว่าโศกนาฏกรรมแต่ละครั้งเป็นอุทาหรณ์เตือนใจเท่านั้น
เท่าที่มีข้อมูลจากโศกนาฏกรรมในตลาดหุ้นหลายกรณี นักลงทุนที่ต้องสังเวยชีวิตตัวเองมักหมดตัวจากการเข้าไปเล่นหุ้นปั่น
เพราะหุ้นปั่นผลาญสิ้นทุกอย่าง
ถ้าลงทุนหุ้นที่พอจะมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ราคาไม่โลดโผนโจนทะยาน ไม่น่าจะก่อความเสียหายร้ายแรงให้ผู้ลงทุนได้ ไม่น่าจะทำให้คนที่เข้าไปลงทุนต้องจบชีวิต
อยากรู้เหมือนกันว่า ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ที่ชอบเชิญชวนคนมาลงทุน ชอบสร้างโลกสวยของการลงทุนจะรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนเอาชีวิตมาทิ้งในตลาดหุ้น
จะสำนึกความรับผิดชอบโศกนาฏกรรมในตลาดหุ้นบ้างไหมหนอ?