“บิซิเนสอะไลเม้นท์” ลงนามตั้ง APM เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน จ่อระดมทุนขาย IPO จำนวน 100 ล้านหุ้นใน mai เผยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ รองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต
นายสมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิซิเนสอะไลเม้นท์ หรือ BAZ กล่าวว่า บริษัทฯได้ลงนามแต่งตั้งบริษัท เอพีเอ็ม จำกัด เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งจะได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น (คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วหลังการเพิ่มทุน) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถยื่นแบบรายการแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้ภายในเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ หลังจากนั้น บริษัทฯ เตรียมที่จะเดินสายโรดโชว์ต่อนักลงทุนในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศอย่างน้อย 11-13 จังหวัด ซึ่งหากไฟลิ่งผ่านการพิจารณาจากทาง ก.ล.ต. แล้วคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นได้ภายในไตรมาสที่ 3/2559 นี้
ขณะนี้ในส่วนของเป้าหมายจากการระดมทุนในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้านำเงินที่ได้จากการจดทะเบียนเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ ได้แก่ เครื่องฉายรังสี และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ชุดระบบคอมพิวเตอร์วางแผนการรักษาโรคมะเร็ง และชุดทวนสอบคุณภาพปริมาณรังสี เป็นต้น เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต
“หลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้การเติบโตไม่น้อยกว่าปีละ 10% ขณะที่ในส่วนกำไรคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 7% ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ หรือ Backlog อยู่ที่ 660 ล้านบาท จากออเดอร์การสั่งซื้อเครื่องรังสีรักษาโรคมะเร็ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนธุรกิจในระยะกลางถึงระยะยาวที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น เครื่องผลิตออกซิเจน เพื่อให้บริการผู้ป่วยหลังออกจากโรงพยาบาล”
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานของ บมจ.บิซิเนสอะไลเม้นท์ ที่ผ่านมา ในปี 2556 บริษัทมีรายได้ 685 ล้านบาท ปี 2557 บริษัทมีรายได้กว่า 1,064 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากการที่รัฐบาลได้อัดฉีดงบด้านนโยบายสาธารณสุขเป็นจำนวนมาก ทำให้รายได้บริษัทมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก อีกทั้งบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนบัญชีใหม่ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. ส่วนรายได้ในปี 2558 ของบริษัทฯ อยู่ที่ 319 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของสัดส่วนการขายจากเดิมที่เน้นขายภาครัฐ 90% และภาคเอกชน 10% ซึ่งหลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นแล้ว จะปรับเปลี่ยนเน้นการขายของภาคเอกชนมากขึ้นให้ได้อย่างน้อย 20-30% ส่วนรายได้จากค่าบริการซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ที่ประมาณ 60 ล้านบาท/ปี บริษัทฯ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นถึง 100 ล้านบาท/ปี เนื่องจากจำนวนลูกค้าที่มีมากขึ้น และการพัฒนาศักยภาพในการให้บริการหลังการขายเพิ่มขึ้น