“ฮ่องกง คิง ไว เรียล เอสเตท กรุ๊ป” เตรียมฮุบหุ้น KTP ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานวิ่งชนซิลลิ่ง
บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KTP ระบุว่า บริษัท เคปเปล แลนด์ ลิมิเต็ด (KLL) ได้ทำการลงนามในสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไขระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ กับบริษัท ฮ่องกง คิง ไว เรียล เอสเตท กรุ๊ป จำกัด (HKKW) โดย KLL ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KTP จะขายหุ้นทั้งหมด 45.45% ที่ถืออยู่ในบริษัทให้แก่ HKKW
โดยบริษัท เคปเปล คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด (KCL) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KLL ได้ทำการประกาศเรื่องดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ตามข้อกำหนดในการจดทะเบียนหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยการซื้อขายจะเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายแล้ว
ทั้งนี้ KCL ระบุว่า บริษัทย่อยของบริษัท คือ KLL และบริษัทย่อยของ KLL คือ บริษัทเคปเปล แลนด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส พีทีอี แอลทีดี ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไขกับ HKKW ซึ่งเป็นผู้ซื้อ โดยมีค่าตอบแทนรวม จำนวน 300 ล้านบาท หรือประมาณ 11.8 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เมื่อคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 เหรียญสิงคโปร์ต่อ 25.42 บาท เกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขาย ซึ่งประกอบด้วย การขายหุ้น จำนวน 100 ล้านหุ้น คิดเป็น 45.45% ขอหุ้นใน KTP, การขายหุ้น จำนวน 2 หุ้น คิดเป็น 100% ในบริษัทแฮมเชียร์ พีทีอี แอลทีดี (HPL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ KLL ให้แก่ผู้ซื้อ และการแปลงหนี้ใหม่โดยการโอนสิทธิเรียกร้องในจำนวนเงินทั้งหมดที่บริษัท ท๊อป พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ต้องชำระ หรือเป็นหนี้อยู่กับบริษัท เคปเปล แลนด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส พีทีอี แอลทีดี ให้แก่ผู้ซื้อ (หนี้คงค้าง)
โดยตามสัญญาซื้อขายนั้น การแบ่งค่าตอบแทนรวมระหว่างหุ้น KTP ที่จะขาย, หุ้น HPL ที่จะขาย และหนี้คงค้างนั้น จะได้ตกลงเป็นที่สุดในวันที่ธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสิ้น (Completion Date) ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 18 เม.ย.59 การขาย KTP สอดคล้องต่อแผนการของ KLL ที่จะหมุนเวียนเงินลงทุนเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทยผ่านการเข้าเป็นหุ้นส่วน หรือเข้าทำกิจการร่วมค้ากับหุ้นส่วนในท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ KTP มีธุรกิจหลักเกี่ยวข้องต่อการพัฒนา และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ส่วน HPL เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ โดยมีธุรกิจหลัก คือ การลงทุน ภายหลังจากเสร็จสิ้นธุรกรรมการซื้อขาย KTP จะสิ้นสุดสถานะการเป็นบริษัทในเครือของบริษัท และ HPL จะสิ้นสุดสถานะการเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ส่วน HKKW ซึ่งเป็นผู้ซื้อเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของหมู่เกาะบริติช เวอร์จิน และเป็นบริษัทในเครือของ คิง ไว กรุ๊ป
ทั้งนี้ ทางฝ่ายผู้ซื้อจะเริ่มดำเนินการตรวจสอบสถานะของบริษัท (Due Diligence) ซึ่งการตรวจสอบสถานะดังกล่าวคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จช่วงต้นเดือนเมษายน 2559 ซึ่งก่อนที่ธุรกรรมการซื้อขายจะเสร็จสิ้น KTP จะยังคงดำเนินธุรกิจ และประกอบกิจการเป็นปกติเช่นเดิม ทั้งนี้ เมื่อธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสิ้นลง หรือโดยเร็วที่สุดภายหลังจากนั้น กรรมการที่เสนอชื่อโดย KLL จะลาออกจากคณะกรรมการบริษัทของ KTP และจะถูกแทนที่โดยกรรมการที่เสนอชื่อโดย HKKW โดยหลังจากนั้นการดำเนินธุรกิจของ KTP จะเป็นไปตามแผนงาน และยุทธศาสตร์ที่ถูกกำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการชุดใหม่
อนึ่ง ตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุด เดือน มี.ค.58 พบว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ขอ KTP คือ KLL จำนวน 45.45% รองลงมาเป็น UTAYAN THANI CO.,LTD ถือหุ้น 8.21%
ด้านราคาหุ้น KTP เช้านี้ (7 มี.ค.) พบว่า ได้วิ่งชนซิลลิ่ง 29.41% มาอยู่ที่ 2.64 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 14.21 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.21 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.54 บาท
บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KTP ระบุว่า บริษัท เคปเปล แลนด์ ลิมิเต็ด (KLL) ได้ทำการลงนามในสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไขระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ กับบริษัท ฮ่องกง คิง ไว เรียล เอสเตท กรุ๊ป จำกัด (HKKW) โดย KLL ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KTP จะขายหุ้นทั้งหมด 45.45% ที่ถืออยู่ในบริษัทให้แก่ HKKW
โดยบริษัท เคปเปล คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด (KCL) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KLL ได้ทำการประกาศเรื่องดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ตามข้อกำหนดในการจดทะเบียนหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยการซื้อขายจะเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายแล้ว
ทั้งนี้ KCL ระบุว่า บริษัทย่อยของบริษัท คือ KLL และบริษัทย่อยของ KLL คือ บริษัทเคปเปล แลนด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส พีทีอี แอลทีดี ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายแบบมีเงื่อนไขกับ HKKW ซึ่งเป็นผู้ซื้อ โดยมีค่าตอบแทนรวม จำนวน 300 ล้านบาท หรือประมาณ 11.8 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เมื่อคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 เหรียญสิงคโปร์ต่อ 25.42 บาท เกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขาย ซึ่งประกอบด้วย การขายหุ้น จำนวน 100 ล้านหุ้น คิดเป็น 45.45% ขอหุ้นใน KTP, การขายหุ้น จำนวน 2 หุ้น คิดเป็น 100% ในบริษัทแฮมเชียร์ พีทีอี แอลทีดี (HPL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ KLL ให้แก่ผู้ซื้อ และการแปลงหนี้ใหม่โดยการโอนสิทธิเรียกร้องในจำนวนเงินทั้งหมดที่บริษัท ท๊อป พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ต้องชำระ หรือเป็นหนี้อยู่กับบริษัท เคปเปล แลนด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส พีทีอี แอลทีดี ให้แก่ผู้ซื้อ (หนี้คงค้าง)
โดยตามสัญญาซื้อขายนั้น การแบ่งค่าตอบแทนรวมระหว่างหุ้น KTP ที่จะขาย, หุ้น HPL ที่จะขาย และหนี้คงค้างนั้น จะได้ตกลงเป็นที่สุดในวันที่ธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสิ้น (Completion Date) ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 18 เม.ย.59 การขาย KTP สอดคล้องต่อแผนการของ KLL ที่จะหมุนเวียนเงินลงทุนเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทยผ่านการเข้าเป็นหุ้นส่วน หรือเข้าทำกิจการร่วมค้ากับหุ้นส่วนในท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ KTP มีธุรกิจหลักเกี่ยวข้องต่อการพัฒนา และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ส่วน HPL เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ โดยมีธุรกิจหลัก คือ การลงทุน ภายหลังจากเสร็จสิ้นธุรกรรมการซื้อขาย KTP จะสิ้นสุดสถานะการเป็นบริษัทในเครือของบริษัท และ HPL จะสิ้นสุดสถานะการเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ส่วน HKKW ซึ่งเป็นผู้ซื้อเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของหมู่เกาะบริติช เวอร์จิน และเป็นบริษัทในเครือของ คิง ไว กรุ๊ป
ทั้งนี้ ทางฝ่ายผู้ซื้อจะเริ่มดำเนินการตรวจสอบสถานะของบริษัท (Due Diligence) ซึ่งการตรวจสอบสถานะดังกล่าวคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จช่วงต้นเดือนเมษายน 2559 ซึ่งก่อนที่ธุรกรรมการซื้อขายจะเสร็จสิ้น KTP จะยังคงดำเนินธุรกิจ และประกอบกิจการเป็นปกติเช่นเดิม ทั้งนี้ เมื่อธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสิ้นลง หรือโดยเร็วที่สุดภายหลังจากนั้น กรรมการที่เสนอชื่อโดย KLL จะลาออกจากคณะกรรมการบริษัทของ KTP และจะถูกแทนที่โดยกรรมการที่เสนอชื่อโดย HKKW โดยหลังจากนั้นการดำเนินธุรกิจของ KTP จะเป็นไปตามแผนงาน และยุทธศาสตร์ที่ถูกกำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการชุดใหม่
อนึ่ง ตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุด เดือน มี.ค.58 พบว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ขอ KTP คือ KLL จำนวน 45.45% รองลงมาเป็น UTAYAN THANI CO.,LTD ถือหุ้น 8.21%
ด้านราคาหุ้น KTP เช้านี้ (7 มี.ค.) พบว่า ได้วิ่งชนซิลลิ่ง 29.41% มาอยู่ที่ 2.64 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 14.21 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.21 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.54 บาท