“โตโต้” ประกาศบุกตลาดไทย-อาเซียนเต็มสูบ เล็งลงทุนเพิ่มในเวียดนาม-อินโดนีเซีย หลังยอดขายขึ้นแท่นอันดับ 1 ในเวียดนาม ทุ่ม 20 ล้านบาท รีโนเวตโชว์รูมใหม่ทุกแห่ง เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดตลอดปี ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาด 30% จากมูลค่าตลาดรวม 1.2 หมื่นล้าน ภายใน 5 ปี
นายฮิโรยูกิ ซูซูกิ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้โตโต้มีแผนที่จะรุกตลาดเมืองไทย และอาเซียนอย่างจริงจัง โดยเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นกำลังซื้อจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะระดับกลางถึงบนมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดระดับบนจากปัจจุบัน 8% เป็น 30% ภายใน 5 ปีข้างหน้า จากมูลค่ารวมของตลาดสุขภัณฑ์ 12,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น เน้นการนำนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่นเข้ามาเปิดตลาดในไทยมากขึ้น และเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
พร้อมกันนี้จะเน้นการปรับปรุง (รีโนเวต) โชว์รูมของโตโต้ทุกแห่ง โดยใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อเตรียมฉลองครบรอบ 100 ปี โตโต้ในปีหน้า และเตรียมจัดกิจกรรมใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ให้มากขึ้น แต่ทั้งนี้จะใช้แบรนด์โตโต้เพียงแบรนด์เดียวในการทำตลาดทุกประเทศ
ล่าสุด มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในเวียดนาม และอินโดนีเซีย เนื่องจากมีตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตสูง โดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งขณะนี้โตโต้มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 อีกทั้งค่าแรงในเวียดนามยังถูกกว่าไทยมาก ส่วนต้นทุนด้านอื่นใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม การส่งออกจากไทยถือว่าได้เปรียบกว่า โดยเฉพาะส่งไปยังสหรัฐอเมริกาที่ไม่ต้องเสียภาษี
“แม้ว่าในปัจจุบันต้นทุนการผลิตในเวียดนาม โดยเฉพาะค่าแรงที่ถูกกว่ากันเกือบครึ่ง แต่ในอนาคต 5-10 ปี ทุกอย่างอาจกลับกันก็ได้ ไทยอาจมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเวียดนามก็เป็นไปได้ เพราะปัจจุบันค่าครองชีพที่เวียดนามสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลกำหนดขึ้นค่าแรงปีละ 20% ซึ่งในปัจจุบันไทยได้เปรียบในเรื่องภาษีส่งออก” นายฮิโรยูกิ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะใช้ไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน แม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยจะยังชะลอตัวอยู่ก็ตาม แต่บริษัทเชื่อว่าไทยยังมีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าคอนโดมิเนียมหรูในย่านใจกลางเมืองที่เติบโตต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก บริษัทจึงให้ความสำคัญต่อกลุ่มนี้เป็นพิเศษ โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายให้โครงการ 60% ขายปลีก 40% และมีกำลังการผลิตปีละ 540,000 ชิ้น