ซุปเปอร์ริชฯ เตรียมเข้าจดทะเบียนตลาด mai ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่ปี 59 คาดสรุปร่วมทุน AIRA เสร็จในปีนี้ แย้มเปิดทางให้เข้าถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% หรือประมาณ 2 พันล้าน ตั้งเป้าปริมาณธุรกรรมในปีนี้จะเติบโต 10% จากปี 58 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเงินสกุลต่างประเทศ 1.25 หมื่นล้าน และจะก้าวกระโดดหลังเปิดเออีซี ส่วนความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนี้ได้มีการสต๊อกดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ เนื่องจากมองแนวโน้มค่าเงินบาทจะอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากเฟดส่งสัญญาณ ดบ.ขาขึ้น โดยประเมินค่าเงินบาทสิ้นปีนี้ที่ 38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
นายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ซุปเปอร์ริช อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซ์เชนจ์ (1965) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังยืนยันว่าจะนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายใน 3 ปี นับจากปี 59 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างหาที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และผู้ตรวจสอบบัญชี
ส่วนแผนการร่วมทุนกับ บมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ หลังมีความล่าช้าจากปี 58 ที่ผ่านมา เนื่องจากติดปัญหาการจัดทำโครงสร้างทางบัญชี รวมถึงโครงสร้างใหม่ของการถือหุ้น โดยทาง AIRA จะเข้าถือหุ้นในบริษัทฯ ไม่ต่ำกว่า 50% มูลค่าราว 2,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 59 บริษัทตั้งเป้าขยายธุรกิจ 10-15% ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิคาดเติบโตราว 10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิราว 7-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายสาขาใหม่ในปีนี้ราว 10 สาขา จากช่วงปี 57-58 ราว 8 สาขา โดยจะเน้นการขยายสาขาตามสถานีรถไฟฟ้า BTS ห้างสรรพสินค้า และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
ปัจจุบัน ซุปเปอร์ริชฯ มีสาขาที่ให้บริการทั้งสิ้น 30 สาขา รวมทั้งมีสกุลเงินต่างประเทศพร้อมให้บริการมากถึง 34 สกุลเงิน พร้อมนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการแลกเงินมาใช้ รวมทั้งบริการเสริมอื่นๆ เช่น บริการจองเงินผ่านระบบออนไลน์ และ Call Center โดยสามารถไปรับเงินได้ที่สาขาที่สะดวก นอกจากนี้ ในอนาคตอาจจะมีตู้แลกเงินอัตโนมัติเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ในปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยจำนวนสูงถึง 29 ล้านคน ผนวกกับนักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจรับเลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัท มองว่าจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของภาครัฐ รวมทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะทำให้มีชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น
พร้อมปรับเปลี่ยนโลโก้ให้มีความทันสมัยแตกต่างจากคู่แข่ง
นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณธุรกรรมในปีนี้จะเติบโต 10% จากปี 58 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเงินสกุลต่างประเทศ 1.25 หมื่นล้านบาท โดยหลังจากเปิด AEC คาดว่า ปริมาณการซื้อขายเงินสกุลต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนในช่วงนี้ บริษัทฯ ได้มีการสต๊อกดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ เนื่องจากมองแนวโน้มค่าเงินบาทจะอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีนี้ โดยประเมินค่าเงินบาทสิ้นปีนี้ที่ 38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ