บอร์ด ล็อกเล่ย์เผย ส่งบริษัทลูกร่วมทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้แตะ 700 ล้านบาทภายใน 5 ปี พร้อมขยายงานขายไปยังประเทศเพื่อนบ้านหลังเปิด AEC
นายสุรพันธ์ ภาษิตนิรันดร์ กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ล็อกซเล่ย์ หรือ LOXLEY กล่าวว่า การร่วมทุนระหว่าง บริษัท เฟดเดอรัล โมกุล มอเตอร์พาร์ท ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอะไหล่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ชั้นนำระดับโลก หนึ่งในเครือของเฟดเดอรัล โมกุล โฮลดิ้ง คอร์ปเปอเรชั่น ในครั้งนี้ กับบริษัท พาร์ทโซน (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ. ล็อกซเล่ย์ เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายอะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์เครื่องมือช่างในประเทศไทย ซึ่งจะขยายธุรกิจอะไหล่ยานยนต์ต่อไปยังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และกลุ่มประเทศ CLMV หลังจากเปิดประชาคมอาเซียน หรือ AEC อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท พาร์ทโซน (ประเทศไทย) จำกัดหลังการร่วมทุนจะเปลี่ยนเป็น บริษัท เฟดเดอรัล โมกุล มอเตอร์พาร์ท ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 50.11 บมจ.ล็อกซเล่ย์ ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 46.32 และผู้ถือหุ้นรายย่อย ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 3.57
ขณะเดียวกัน หลังจาการเข้าร่วมทุนในครั้งนี้จะทำให้พาร์ทโซนฯ มีสภาพคล่องจากเงินทุนที่เพิ่มเข้ามา ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทวางแผนในการขยายสาขาใหม่ให้ได้อย่างน้อย 12 สาขา ภายใน 5 ปี จากเดิมที่มีอยู่ 4 สาขา แบ่งเป็นสำนักงานและคลังสินค้าหลักใน กทม. 2 แห่ง และที่เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี อีกจังหวัดละแห่ง ซึ่งจะใช้เงินในการลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 5 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทจะเน้นสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้า และการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุม มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรวดเร็วขึ้น อีกทั้ง แผนการขยายสาขาดังกล่าว สามารถรองรับลูกค้าที่เป็นศูนย์บริการรถยนต์ อู่ซ่อมรถ ตลอดจนสถาบันการศึกษาที่มีการเรียนการสอนด้านอาชีวะต่างๆ ทั่วประเทศ
ขณะที่ในส่วนของเป้ายอดขายบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้คาดว่าจะเติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท ภายใน 5 ปี จากเดิมในปีนี้ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 240 ล้านบาท
“บริษัทฯ มุ่งหวังที่จะขยายธุรกิจของพาร์ทโซนฯ ในประเทศไทย โดยร่วมมือกับเฟดเดอรัล โมกุล มอเตอร์พาร์ท ซึ่งเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายอะไหล่ยานยนต์ระดับโลก ซึ่งการร่วมทุนครั้งนี้จะเพิ่มขีดความสามารถของเรา เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดยานยนต์ของไทย ซึ่งปัจจุบันมียานพาหนะมากกว่า 13.2 ล้านคัน”
