ประธานบอร์ดทีวี ธันเดอร์ ฟุ้งกำไรปีนี้คาดว่าเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ แม้ครึ่งปีแรกจะไม่ใช่นาทีทองของธุรกิจสื่อ มั่นใจครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซัน อีกทั้งรัฐบาลออกนโยบายกระตุ้นผู้มีรายได้น้อย ทำให้เม็ดเงินโฆษณาจะกลับมาคึกคัก
นายพิรัฐ เย็นสุดใจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีวี ธันเดอร์ หรือ TVT กล่าวว่า บริษัทฯประมาณการณ์กำไรสุทธิปีนี้คาดว่าจะทำสถิติสูงสุด เนื่องจากครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรอยู่ที่ 15.85 ล้านบาท จากปี 2557 มีกำไรอยู่ที่ 34 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากการยกเลิกผลิตรายการที่เรตติ้งไม่เป็นที่นิยมของผู้ชม ซึ่งทำให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด โดยบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หันไปรับจ้างผลิตรายการที่มีมาร์จิ้นสูง ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีการรับจ้างผลิตรายการที่มีมาร์จิ้นอยู่ที่ประมาณ 15-25% รวมถึงมีกำไรจากการขายโฆษณาคิดเป็น 45-55% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่จ 10-13% ส่วนอัตรากำไรสุทธิน่าจะอยู่ที่ 30-35%
“บริษัทฯ มองอุตสาหกรรมสื่อโดยรวมปีนี้คาดว่าน่าจะเติบโตได้อย่างน้อย 1-2% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่เป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจสื่อโฆษณา โดยการเติบโตนั้นจะขึ้นอยู่กับเม็ดเงินโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ส่วนการที่รัฐบาลได้มีการปรับ ครม.ใหม่นั้น ได้มีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเน้นประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทำให้มีผลต่อเม็ดเงินโฆษณาที่จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายได้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 25% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 432 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรกได้ จากช่วงไตรมาส 3/2558 ที่ถือว่าเป็นช่วงไฮซีซันของวงการโทรทัศน์ ทั้งในด้านของการผลิตคอนเทนต์เพื่อออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น และอัตราการใช้จ่ายของธุรกิจสื่อโฆษณาในไตรมาสนี้ถือว่าเป็นช่วงที่สูงที่สุดของปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะรับรู้รายได้จากรายการ Dance Your Fat Off ซึ่งได้ออกอากาศไปแล้ว รวมถึงออกอากาศรายการ The price is right ซึ่งทั้ง 2 รายการมีมูลค่าสัญญารวมกว่า 130 ล้านบาท ขณะที่ยังมีการรับรู้รายได้จากเดิมที่ออกอากาศอยู่ในปัจจุบันจำนวน 4 รายการที่บริษัทฯ ถือลิขสิทธิ์เป็นเจ้าของรายการ ได้แก่ Masterkey, หลวงตามหาชน, Take Me Out Thailand และ Family Fighting และอีก 3 รายการที่เป็นรายการรับจ้างผลิต ได้แก่ Who's asking, วาไรตี้แบเบอร์ และวาไรตี้ 3 ฝ่าย ซึ่งคาดว่าจะมีรายการรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 14-15 รายการในปีนี้
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการก่อสร้างสตูดิโอแห่งใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในเดือนธันวาคมนี้อย่างน้อย 1 แห่ง และอีก 2 แห่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2559 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีความสามารถที่จะรองรับการผลิตรายการ และรับจ้างผลิตรายการ ได้มากขึ้นอีกประมาณ 2-3 เท่าจากที่ทำได้ในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้จะส่งผลต่อรายได้ในปี 2559 น่าจะเติบโตได้อย่างน้อย 20%
ทั้งนี้ ในส่วนของการเข้าซื้อกิจการในบริษัทโปรดักชันเฮาส์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการ ซึ่งคาดว่าน่าจะสรุปได้ในปีนี้ จำนวน 1 ราย และจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/2558 ทันที โดยบรอษัทจะใช้เงินทุนหมุนเวียนอยู่ที่ 290 ล้านบาท ในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ขณะที่หนี้สินต่อทุน หรือ D/E อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.23 เท่า ทำให้ยังมีความสามารถที่จะกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้อีกมาก ซึ่งหากไม่เพียงพอก็จะมองหาการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติ่ม