เอทีพี 30 (ATP30) หนึ่งในผู้นำการให้บริการรถโดยสารรับ-ส่งพนักงานในเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออก พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 27 ส.ค.นี้ ระดมทุนเพื่อใช้ขยายงาน
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. เอทีพี 30 (ATP30) จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มบริการในวันที่ 27 สิงหาคม 2558 โดย ATP30 ดำเนินธุรกิจให้บริการรถโดยสารไม่ประจำทางเพื่อรับส่งพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก ปัจจุบันบริษัทมีรถโดยสาร 135 คัน แบ่งเป็นรถบัส 125 คัน รถมินิบัส 2 คัน และรถตู้ 8 คัน นอกจากนี้ยังมีรถร่วมที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท 98 คัน บริษัทมีการนำระบบ GPS Tracking มาใช้บริหารการเดินรถเพื่อควบคุมต้นทุน และคุณภาพบริการ ATP30 มีประสบการณ์ในการให้บริหารจัดการการเดินรถรับส่งพนักงานให้ลูกค้าที่เป็นบริษัทชั้นนำมานานกว่า 10 ปี
ทั้งนี้ ATP30 มีทุนชำระแล้ว 110 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 280 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 160 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 19-21 สิงหาคม 2558 ในราคาหุ้นละ 0.95 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 152 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 418 ล้านบาท มีบริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย
นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอทีพี 30 (ATP30) เปิดเผยว่า ATP30 ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง โดยรถบัสรุ่นใหม่จะออกแบบตามหลักวิศวกรรม และความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และความสะดวกสบายของผู้โดยสารเป็นหลัก สำหรับพนักงานขับรถของบริษัท จะได้รับการคัดสรร และพัฒนาทักษะการขับรถอย่างต่อเนื่อง การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้บริษัทสามารถขยายกำลังเดินรถได้รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทจะนำเงินระดมทุนที่ได้ไปพัฒนาศูนย์อบรม และหลักสูตรนักขับ พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการบริหารการเดินรถ ปรับปรุงศูนย์ซ่อมบำรุงพื้นที่ชลบุรี ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
โดย ATP30 มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายปิยะ เตชากูล ถือหุ้น 22.27% กลุ่มพานิชชีวะ ถือหุ้น 19.09% และกลุ่มกรมดิษฐ์ ถือหุ้น 15.64% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 61.69 เท่า คำนวณจากผลประกอบการ 4 ไตรมาสล่าสุด (1 เมษายน 2557-31 มีนาคม 2558) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0154 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด