“ซี.พี.แลนด์” เดินหน้าขยายลงทุนต่างประเทศ วางงบพันล้านบาทซื้อโรงแรมในยุโรป ปั้นแบรนด์เมอร์เคียว ฟอร์จูน เข้าบริหาร เล็งอสังหาฯ ในนิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เจรจาซื้อสิทธิออฟฟิศกรุงย่างกุ้ง หวังการเบิกจ่ายภาครัฐตามเป้าหนุนนำเศรษฐกิจให้เติบโต
นายสุนทร อรุณานนท์ชัย ประธานคณะผู้บริหาร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนลงทุนในปี 2558 ว่า เป็นปีแรกที่ได้ขยายการลงทุนในต่างประเทศ เน้นการลงทุนที่สร้างรายได้ระยะยาว โดยมีแผนที่จะเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมระดับ 3-4 ดาว ขนาด 250-400 ห้อง ในแถบยุโรปกลาง เช่น โครเอเชีย เพราะมองว่าเป็นตลาดที่ใหม่ที่คนไทยเริ่มไปท่องเที่ยว ค่าครองชีพ และราคาที่พักอาศัยยังไม่สูงมากนัก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล และเจรจากับนักลงทุนท้องถิ่นหลายราย คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท โดยจะใช้แบรนด์เมอร์เคียว ฟอร์จูน เข้าไปบริหาร
นอกจากนี้ ยังสนใจลงทุนในประเทศนิวซีแลนด์ และออสเตรเลียด้วย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล
ขณะเดียวกัน เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ทางซี.พี.แลนด์ฯ ได้เข้าไปเจรจาซื้อสิทธิการเช่าสำนักงานของหน่วยงานราชการในกรุงย่างกุ้ง พม่า เป็นอาคารสูง 8 ชั้น พื้นที่ 6,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) โดยสัญญาเช่า 50 ปี ต่อสัญญา 10 ปี ได้ 2 ครั้ง คาดว่าจะสรุปได้ในปลายปีนี้ และจะใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท อัตราค่าเช่าใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 1,800-2,400 บาท/ตร.ม./เดือน รวมทั้งมีกลุ่มทุนต่างชาติสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนกับซี.พี.แลนด์ อยู่ระหว่างการเจราจา ทั้ง จีน ที่สนในร่วมทุนในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น และสิงคโปร์ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“ซี.พี.แลนด์ มีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2560 ปัจจัยสำคัญคือ เพื่อเปิดกว้างและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจ เพราะในแง่การลงทุนบริษัทมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนอยู่แล้ว เช่น หากจะลงทุนหมื่นล้านบริษัทสามารถตัดสินใจได้เลย ทั้งนี้ หลังเข้าตลาดจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก จากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียน 3,630 ล้านบาท” นายสุนทร กล่าว
เชื่อมั่นแรงขับเคลื่อนภาครัฐหนุน ศก.ไทย
นายสุนทร กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ค่อยดี สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื้อให้แก่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก และขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ดังนั้น ช่วงที่เหลือที่ 6 เดือนขึ้นอยู่กับกำลังซื้อว่าจะฟื้นหรือไม่ โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญ คือ การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ หากทำได้ตามแผนที่วางไว้จะทำให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เหมือนกับเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้แก่เศรษฐกิจ อาจจะเห็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ที่ 3% อย่างไรก็ตาม ไม่ถือว่าสูง เพราะปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจก็เติบโตไม่มากนัก ขณะนี้ภาคเอกชนต้องปรับตัวรองรับเศรษฐกิจ เห็นบางธุรกิจมีการลดคนงาน ธุรกิจค้าปลีกมีการแข่งขันจัดโปรโมชันรุนแรง
“เราต้องเดินหน้าลงทุนเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะถ้าไปลงทุนข้างหน้าอาจจะไม่ทัน”