ผู้บริหาร “แอร์โรว์ ซินดิเคท” เผยช่วงที่เหลือปีนี้ยังขยายตัวได้ดีตามธุรกิจท่อสำหรับงานระบบในอาคารที่ยังสดใส พร้อมตอกย้ำยังมุ่งหน้าเจาะตลาดใหม่ๆ เพื่อกระจายรายได้ทั้งใน และต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% หรือแตะ 1,200 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปักธงรักษาอยู่ที่ 23-25% โชว์ฟอร์มทำผลงานไตรมาสแรกกำไรเพิ่มขึ้น 72.4% เหตุรายได้จากการขายหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่ม
นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสที่เหลือของปีนี้ว่า บริษัทจะยังคงทำผลงานให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นลดต้นทุนในการผลิตเพื่อรักษาอัตราขั้นต้นให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 23-25%
ส่วนรายได้รวมยังคงตั้งเป้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 180-200 ล้านบาท และคาดว่าจะมีงานใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน ประกอบกับปัจจุบันบริษัทยังมีใบสั่งซื้อสินค้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการผลิตคิดเป็นจำนวนมากกว่า171 ล้านบาท และบริษัทยังอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงานท่อร้อยสายไฟใต้ดินชนิดอีพ็อกซีเรซินเสริมใยแก้ว บนพื้นที่ 8 ไร่ คาดจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยเบื้องต้น วางงบลงทุนไว้ราว 25 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ในอนาคตสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้กับงานปรับปรุงระบบเดินสายใต้ดินที่จะเกิดขึ้นจากการปรับปรุงระบบการเดินสายของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม เพื่อการเติบโตของกลุ่มบริษัทอย่างมีศักยภาพบริษัทยังคงมองหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เพิ่ม จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็นงานจากโครงการที่ดำเนินการภายในประเทศ 90% และ 10% มาจากการส่งออกไปยังต่างประเทศ
“ที่ผ่านมา การเติบโตของธุรกิจท่อสำหรับงานระบบต่างๆ ในอาคารมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ธุรกิจของ ARROW จากความไว้วางใจจากลูกค้าซึ่งสนใจในคุณภาพ และความสามารถในการผลิตที่ทันต่อความต้องการ ประกอบกับบริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องจนขึ้นเป็นผู้นำด้านงานท่อในอาคารทำให้ธุรกิจ และผลประกอบการของบริษัทเติบโตอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด โดยเชื่อว่าในไตรมาสที่เหลือของปีนี้บริษัทจะยังคงทำผลงานให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องได้” นายธานินทร์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2558 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558 ของบริษัท และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 61.85 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 35.86 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 72.4% ซึ่งถือเป็นผลประกอบการที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสาเหตุมาจากบริษัท และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 243 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 303.31 ล้านบาท ในงวดไตรมาส 1/2558 หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 24.8% เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 25.65% ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 30.94% ในงวดไตรมาสแรก หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 53.31%
เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง ด้านดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 0.69 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 0.49 ล้านบาทในงวดไตรมาส 1/2558 หรือคิดเป็นลดลง 28.98% ขณะที่กำไรก่อนหักภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจาก 40.67 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 72.33 ล้านบาทในงวดไตรมาสแรกปีนี้ หรือคิดเป็น 77.84% ผลดีจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.98 ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 3.30% ในงวดไตรมาสแรกนี้ เนื่องจากการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หมดอายุลงบางส่วน