หุ้นไทยร่วง 17 จุด นักวิเคราะห์ยอมรับดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวลงค่อนข้างแรง เนื่องจากได้รับ Sentiment เชิงลบจากต่างประเทศกรณีปัญหาหนี้กรีซ แถมเจอแรงกดดันจากเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นทุกแบงก์ แย้มมีลุ้น กนง.ปรับลด ดบ.ในการประชุมอีก 1-2 ครั้งนี้ ระบุ ตลาดยังมีความหวังจาก mini QE ของจีน จะทำให้ Money supply ฝั่งเอเชียเพิ่มมากขึ้น ส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดทุนของเอเชีย
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 เม.ย.) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,552.01 จุด ลดลง 17.34 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -1.10% มูลค่าการซื้อขาย 42,893.94 ล้านบาท โดยภาพรวมวันนี้ตลาดค่อนข้างผันผวนสูง ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,571.50 จุด และต่ำสุดที่ 1,552.00 จุด
ด้านสัดส่วนผู้ลงทุนวันนี้ นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 3,036.22 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 314.08 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 899.72 ล้านบาท นักลงทุนภายในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,450.58 ล้านบาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยแกว่งผันผวน โดยวันนี้แกว่งตัวลงค่อนข้างแรง เนื่องจากได้รับ Sentiment เชิงลบจากต่างประเทศกรณีปัญหาหนี้กรีซที่ใกล้จะถึงกำหนดวันยื่นแผนปฏิรูปการเงินกรีซต่อยูโรโซนในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องไปถึงการชำระหนี้กรีซต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยูโรโซนบางส่วนออกมาส่งสัญญาณว่า ถึงแม้กรีซจะผิดนัดชำระหนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า กรีซจะพ้นจากสมาชิกภาพของกลุ่มยูโรโซน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด โดยเฉพาะหุ้นธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่มีแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มสูงขึ้น และหุ้นธนาคารทหารไทย (TMB) ที่ออกมาแย่เช่นกัน ส่งผลให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นตัวถ่วงให้ดัชนีแกว่งตัวลง
“ราคาน้ำมันที่ย่อตัวลงในระยะสั้น รวมถึงกำไรของกลุ่มแบงก์ออกไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะ KTB และ TMB ประกาศงบฯออกมาต่ำกว่าคาด และ NPL เร่งตัวขึ้นทำให้กดดันการตั้งสำรองฯ ของแบงก์”
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 เม.ย.นี้ และครั้งถัดไปในช่วงเดือน มิ.ย. มองว่า กนง.น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงการประชุม 2 ครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้า อีกทั้งไม่มีแรงกดดันจาภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งหาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่จะถึงนี้ย่อมส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) คาดว่า หุ้นไทยน่ารีบาวนด์เนื่องจากวันนี้ดัชนีแกว่งตัวลงตอบรับข่าวลบไปพอสมควร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดยังมีปัจจัยบวก ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนด้วยการลด RRR อีก 1% ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน และยังมีแนวโน้มว่าจีนอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะทำให้ Money supply ฝั่งเอเชียเพิ่มมากขึ้น ส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดทุนของเอเชีย กลยุทธ์ แนะซื้อหุ้น ICHI, CPALL, STA, PTTGC โดยประเมินแนวรับ 1,550-1,548 จุด แนวต้าน 1,575-1,580 จุด
ด้าน นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายนี้ปรับตัวลงแรง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียหลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่ม TIPs ด้านลบ ยกเว้นตลาดญี่ปุ่นที่ปรับตัวขึ้นอันเป็นผลจากดุลการค้าเกินเป็นครั้งแรก และตลาดฮ่องกง ปรับตัวขึ้นรับผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนนำเรื่องความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาหนี้ของกรีซมาเป็นประเด็นที่ใช้อ้างอิงในการขาย อีกทั้งยังกังวลเรื่องการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์หน้าว่าจะมีทิศทางอัตราดอกเบี้ยอย่างไรบ้าง ดังนั้น จึงทำให้ตลาดช่วงนี้ผันผวนได้ง่าย
ส่วนตลาดบ้านเรามองว่าเป็น profit taking หลังจากที่ได้ปรับตัวขึ้นไปในช่วงที่ผ่านมา และยังผิดหวังต่อการประกาศผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ด้วย เนื่องจาก NPL มีการปรับตัวขึ้นเกือบทุกแบงก์ ทำให้ต้องมีการติดตามต่อไปว่าจะขึ้นไปอีกไหมในไตรมาสต่อไป
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
KTB (XD) มูลค่าการซื้อขาย 4,230.65 ล้านบาท ปิดที่ 21.50 บาท ลดลง 1.40 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,239.11 ล้านบาท ปิดที่ 226.00 บาท ลดลง 6.00 บาท
BBL (XD) มูลค่าการซื้อขาย 1,665.41 ล้านบาท ปิดที่ 187.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,661.90 ล้านบาท ปิดที่ 346.00 บาท ลดลง 8.00 บาท
TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,574.28 ล้านบาท ปิดที่ 12.90 บาท ลดลง 0.60 บาท