หุ้นเช้าปิดลบ 9.60 จุด กังวล “เฟด” ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ “เอสซีบี” คาดนักลงทุนต่างชาติจะกลับมาช่วงกลางปี ชี้ดัชนีระดับ 1,550 จุด เหมาะที่เข้าลงทุน พร้อมให้กรอบดัชนี 1,600-1,750 จุด
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (9 มี.ค.) ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,558.69 จุด ลดลง 9.60 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.61% มูลค่าการซื้อขาย 17,862.83 ล้านบาท โดยภาพรวมวันนี้ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงเช้า นักวิเคราะห์มองว่า หุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวตามทิศทางตลาดต่างประเทศ กังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
ด้าน นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีระดับ 1,550 จุด เหมาะสมแก่การลงทุน และจะสร้างผลตอบแทนได้ไม่ยากนัก คาดว่าดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,750 จุด แนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ส่วนการอัดฉีดเม็ดเงินจากทางยุโรปนั้น จะได้ผลดีจากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามา ขณะที่คาดว่ากำไรต่อหุ้นปี 2558 จะเติบโตเกินร้อยละ 20 เป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำ เนื่องจากหลังปี 2557 หลายบริษัทโดนกดดันจากภาวะเศรษฐกิจส่งผลให้กำไรปรับตัวลดลง โดยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเริ่มได้รับผลดีจากทั้งการลงทุนของภาครัฐ และการเมืองในช่วงครึ่งปีหลัง และเชื่อว่าจะได้รับแรงตอบรับจากนักลงทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้น โดยต้องเน้นคัดเลือกเป็นรายบริษัท
นายศรชัย สุเนต์ตา รองกรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 11 มี.ค.นี้ เนื่องจากมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร และการลดดอกเบี้ยไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุด ประกอบกับขณะนี้เริ่มมีบางหน่วยงานเริ่มปรับลดการขยายการตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.5 จากเดิมคาดโต ร้อยละ 4
นายธนวัฒน์ พานิชเกษม รองกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ คาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาถือครองหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจุบันที่ถือครองหุ้นไทยประมาณร้อยละ 32-33 เนื่องจากขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แต่อาจจะกลับมาในหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50
“นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาช่วงกลางปี ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งการบริโภคที่ฟื้นตัว ยอดงบโฆษณาที่เริ่มกลับมา และการเปิดตัวโครงการของคอนโดมิเนียมที่มีการเปิดตัวมากขึ้น โดยจะกลับมาในลักษณะของเม็ดเงินในหุ้นกลุ่มใหญ่ก่อน” นายธนวัฒน์ กล่าว