xs
xsm
sm
md
lg

IEC เล็งย้ายเข้าเทรดในหมวดพลังงานต้นปีหน้า เตรียมจัดตั้งกองอินฟราฯ ช่วงปลายปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

IEC เล็งย้ายเข้าเทรดในหมวดพลังงาน ม.ค.58 จากเดิมที่อยู่ในหมวดโทรคมนาคม เนื่อจากบริษัทมีการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนมากขึ้น เตรียมจัดตั้งกองทุนอินฟราฯ ช่วงปลายปี 58

นายภูษณ ปรีย์มาโนช ประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ย (EBITDA) ในปี 58 อยู่ที่ 605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ 123 ล้านบาท เนื่องจากในปีหน้าบริษัทจะมีรายได้จากการลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเข้ามาเป็นส่วนใหญ่ โดยโครงการพลังงานทดแทนที่ได้ลงทุนไปแล้วในปีนี้ จำนวน 40 เมกะวัตต์ จะสามารถรับรุ้รายได้เต็มปีในปีหน้า ทำให้ EBITDA ในปี 58 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ทั้งนี้ ในปี 58 บริษัทเตรียมเงินลงทุนทั้งหมด 3.67 พันล้านบาท ไว้ใช้สำหรับลงทุนทั้งหมด 8 โครงการ โดยมุ่งเน้นโครงการพลังงานพลังงานทดแทน ได้แก่ 1.เพื่อซื้อหุ้นสามัญ 75% ของบริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.แก้วลำดวน จ.สระแก้ว วงเงินรวม 390 ล้านบาท โดยชำระแล้ว 345 ล้านบาท 2.เพิ่มทุนในบริษัทไออีซี กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด จำนวน 140 ล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับจัดทำระบบคัดแยกขยะ และเตาเผาขยะ เพื่อรับจ้าง และสนับสนุนการดำเนินการของบริษัท จีเดค จำกัด ในการดำเนินโครงการบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขณะเดียวกัน ลงทุนในธุรกิจด้านเทคโลยีสารสนเทศ ( ICT) กับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จำนวน 100 ล้านบาท

4.ร่วมลงทุนร้อยละ 25 ในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ขนาดกำลังผลิต 20 MW มูลค่า 300 ล้านบาท 5.ร่วมลงทุนในโครงการกำจัดขยะและแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า (MSW) จำนวน 600 ล้านบาท 6.ร่วมลงทุนในโครงการนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก (Industrial Estate) จำนวน 300 ล้านบาท 7.ร่วมลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังานก๊าซชีวภาพ (Bio-Gas) จำนวน 400 ล้านบาท 8.ร่วมลงทุนในโครงการผลิตเอทานอล (Ethanol) จำนวน 450 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การลงทุนโครงการพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นในปี 58 อีก 6 โครงการ จะทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมในสิ้นปี 58 มีทั้งหมดราว 90 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 40 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการลงทุนในโครงการผลิตเอทานอลในกัมพูชา กำลังการผลิต 80,000 ลิตรต่อวัน โดยจะนำเอทานอลที่ได้มาทำเป็นน้ำมัน E85 ขายในประเทศกัมพูชา ซึ่งตอนนี้บริษัทได้มีการสำรวจที่ดินแล้ว และอยู่ระหว่างการรอจดทะเบียนเป็นบริษัทในประเทศกัมพูชา

นอกจากนี้ บริษัทมีการเจรจาการเพื่อซื้อโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในประเทศ ขนาดกำลังการผลิต 120 เมกะวัตต์ โดยบริษัทคาดว่าจะดำเนินการเข้าเจรจาซื้อธุรกิจ จำนวน 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาซื้อโรงไฟฟ้า SPP ในประเทศสำเร็จ จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมในปี 58 มากกว่า 100 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ดี จากการเข้ามาดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนมากขึ้น ทำให้บริษัทคาดว่าในช่วงเดือนมกราคม 58 บริษัทจะมีการยื่นคำขอสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อขอย้ายหมวดเป็นกลุ่มพลังงาน จากปัจจุบันบริษัทอยู่ในหมวดโทรคมนาคม

เนื่องจากบริษัทมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจในปี 57 ส่งผลให้สัดส่วนรายได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้กลุ่มพลังงานทดแทนในปี 58 เป็น 90% จากปัจจุบันที่ 80% และปรับลดสัดส่วนรายได้กลุ่มโทรคมนาคมเหลือ 10% จากปัจจุบันที่ 20%

สำหรับการชำระหนี้แทนบริษัท จีเดค จำกัด ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการรอคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการชำระหนี้แทนบริษัท จีเดค จำกัด จำนวน 285 ล้านบาท ในกรณีที่จีเดคมีการผิดเงื่อนไขสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน ซึ่งสาเหตุที่ IEC ต้องเข้าไปรับภาระหนี้แทนจีเดค เนื่องจาก IEC มีสัดส่วนการถือหุ้นในจีเดครวม 50% และต้องการให้สามารถเดินหน้าจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในส่วนของโครงการบริหารจัดการระบบกำจัดขนะมูลฝอยชุมชน จำนวน 6 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการตกลงเพื่อขอซื้อหุ้นจีเดคคืนจากบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ที่มีการถือหุ้นในจีเดคทั้งสิ้น 50% โดยบริษัทได้มีมติขอซื้อหุ้นคืนจาก EGCO ทั้งหมด ซึ่งจะมีการจ่ายเงินในช่วงเดือนมีนาคม 58 และจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อจากจีเดค เป็น IEC หาดใหญ่ นอกจากนี้ จะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทในเครืออื่นๆ ด้วย เช่น จากบริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด เป็น IEC สระแก้ว เป็นต้น

ด้านนายณรงค์ องอาจมณีรัตน์ กรรมการบริหาร สายการปฏิบัติงาน 1 IEC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการตั้งกองทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) มูลค่าหลักพันล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถตั้งกองทุนดังกล่าวได้ในช่วงปลายปี 58 ซึ่งวัตถุประสงค์ของการตั้งกองทุนดังกล่าวเพื่อนำสินทรัพย์ขายเข้ากองทุน ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง

อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ของบริษัทในปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งหากการลงทุนโครงการใหม่เพิ่มเติมในปี 58 สำเร็จ คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น และมีความเหมาะสมในการจัดตั้งกองทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น