เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง เผย 9 เดือนสินเชื่อโตสวนกระแส 26% หรือยอดคงค้าง 2.2 หมื่นล้าน คาดทั้งปีแตะ 2.5 หมื่นล้าน ยันรถคันแรกไม่สะเทือน ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นระดับพรีเมียม
นายศุภวุฒิ จิรมนัสนาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการด้านการเงินในกลุ่มบริษัทเดมเลอร์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ไตรมาสของปี 2557 ว่า บริษัทมียอดคงค้างสินเชื่อรถยนต์โดยรวมประมาณ 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดสินเชื่อใหม่ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้ยอดคงค้างจะแตะระดับ 24,000-25,000 ล้านบาท และยอดสินเชื่อใหม่แตะ 10,000 ล้านบาท
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นั้น อยู่ในระดับ 0.3% ลดลงจาก 0.4% ในช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน เนื่องจากบริษัทมีการดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี และสินเชื่อรวมของยังเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีก็จะยังเพิ่มขึ้นอยู่ ประกอบกับทางบริษัทจะมีแคมเปญออกมากระตุ้นยอด อาทิ ดอกเบี้ยต่ำ 1.79% 48 เดือน เป็นต้น โดยจากยอดขายรถเบนซ์รวมต่อปีนั้น จะเป็นลูกค้าที่ซื้อด้วยเงินสดประมาณ 30% และซื้อเงินผ่อน 60% ซึ่ง 2 ใน 3 จากจำนวนดังกล่าวเป็นลูกค้าของบริษัท
“ผลการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นอัตราการเติบโตที่สวนกระแสตลาดสินเชื่อรถยนต์โดยรวมซึ่งปรับตัวลดลง เนื่องจากลูกค้าของเบนซ์นั้นส่วนใหญ่เป็นระดับพรีเมียม ซึ่งอาจจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรก และส่วนหนึ่งที่เราเติบโตได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะยอดขายของเบนซ์เพิ่มขึ้น ยอดขายเบนซ์ทรงตัวอยู่ในกรอบ 1-1.2 หมื่นคันมาหลาย 2-3 ปีแล้ว แต่เป็นเพราะผู้ซื้อหันมาซื้อจากดีลเลอร์ในประเทศมากขึ้นจากเดิมที่บางส่วนซื้อจากผู้นำเข้าอิสระจึงทำให้เรามียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้น”
สำหรับในปีหน้าอัตราการเติบโตน่าจะตั้งไว้ประมาณ 10% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปีนี้พอสมควร เนื่องจากฐานสินเชื่อของบริษัทเริ่มสูงขึ้น แต่ก็เชื่อว่ายอดรถหรูก็น่าจะยังขยายตัวได้อยู่หากความเชื่อมั่นกลับมา เพราะลูกค้าพรีเมียมเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อเพียงแต่ชะลอออกไป
นายศุภวุฒิ จิรมนัสนาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการด้านการเงินในกลุ่มบริษัทเดมเลอร์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ไตรมาสของปี 2557 ว่า บริษัทมียอดคงค้างสินเชื่อรถยนต์โดยรวมประมาณ 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดสินเชื่อใหม่ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้ยอดคงค้างจะแตะระดับ 24,000-25,000 ล้านบาท และยอดสินเชื่อใหม่แตะ 10,000 ล้านบาท
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นั้น อยู่ในระดับ 0.3% ลดลงจาก 0.4% ในช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน เนื่องจากบริษัทมีการดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี และสินเชื่อรวมของยังเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีก็จะยังเพิ่มขึ้นอยู่ ประกอบกับทางบริษัทจะมีแคมเปญออกมากระตุ้นยอด อาทิ ดอกเบี้ยต่ำ 1.79% 48 เดือน เป็นต้น โดยจากยอดขายรถเบนซ์รวมต่อปีนั้น จะเป็นลูกค้าที่ซื้อด้วยเงินสดประมาณ 30% และซื้อเงินผ่อน 60% ซึ่ง 2 ใน 3 จากจำนวนดังกล่าวเป็นลูกค้าของบริษัท
“ผลการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นอัตราการเติบโตที่สวนกระแสตลาดสินเชื่อรถยนต์โดยรวมซึ่งปรับตัวลดลง เนื่องจากลูกค้าของเบนซ์นั้นส่วนใหญ่เป็นระดับพรีเมียม ซึ่งอาจจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรก และส่วนหนึ่งที่เราเติบโตได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะยอดขายของเบนซ์เพิ่มขึ้น ยอดขายเบนซ์ทรงตัวอยู่ในกรอบ 1-1.2 หมื่นคันมาหลาย 2-3 ปีแล้ว แต่เป็นเพราะผู้ซื้อหันมาซื้อจากดีลเลอร์ในประเทศมากขึ้นจากเดิมที่บางส่วนซื้อจากผู้นำเข้าอิสระจึงทำให้เรามียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้น”
สำหรับในปีหน้าอัตราการเติบโตน่าจะตั้งไว้ประมาณ 10% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปีนี้พอสมควร เนื่องจากฐานสินเชื่อของบริษัทเริ่มสูงขึ้น แต่ก็เชื่อว่ายอดรถหรูก็น่าจะยังขยายตัวได้อยู่หากความเชื่อมั่นกลับมา เพราะลูกค้าพรีเมียมเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อเพียงแต่ชะลอออกไป