“เอสซีจี” เปิดตัวปูนซีเมนต์งานโครงสร้าง “ไฮบริด” ชูจุดแข็งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แข็งแกร่งได้มาตรฐาน รุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมทุ่มงบ 100 ล้านบาท สร้างภาพลักษณ์ ปรับโลโก้ แพกเกจทั้งกลุ่ม เดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์ เพิ่มความทันสมัยให้แบรนด์ และสะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจ สอดคล้องแบรนด์แม่ “เอสซีจี” มั่นใจยังครองส่วนแบ่งตลาดด้วยสัดส่วน 40%
นายนิธิ ภัทรโชค ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ตลาดในประเทศ ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ตราช้างจาก “เอสซีจี” ได้เปิดตัวนวัตกรรมปูนซีเมนต์ใหม่ “ปูนตราช้าง งานโครงสร้าง สูตรไฮบริด” ซึ่งใช้งบประมาณ 60 ล้านบาท ในการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตกว่า 2 ปี จนได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) เมื่อเดือน พ.ค.2557 โดยคุณสมบัติพิเศษของปูนซีเมนต์สูตรดังกล่าว มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะในกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน และยังคงคุณภาพความแข็งแกร่งตามมาตรฐาน “ปูนตราช้าง” ทำให้เหมาะต่อการใช้งานโครงสร้าง ผิวชิ้นงานสวย เรียบเนียน และแห้งตัวไว
“เพื่อตอบรับวิสัยทัศน์ และทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี ตลอดจนเทรนด์วัสดุก่อสร้างทั่วโลกที่มีแนวโน้มไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวมากขึ้น แนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปูนตราช้างในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะสานต่อความเป็นผู้นำตลาดปูนซีเมนต์ ด้วยการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value added product: HVA) และตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า”
“กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ “ปูนตราช้าง งานโครงสร้าง สูตรไฮบริด” คือ กลุ่มลูกค้าผู้รับเหมาและผู้ประกอบการที่นำปูนไปใช้กับงานโครงสร้าง กลุ่มลูกค้าโรงหล่อที่ผลิตงานหล่อชิ้นงานต่างๆ และกลุ่มเจ้าของบ้าน โดยช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ เบื้องต้นมีจำหน่ายที่ร้านผู้แทนจำหน่ายเครือเอสซีจี โดยเริ่มจากโซนภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ หลังจากนั้น เตรียมขยายไปภาคที่เหลือต่อไป เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เรามั่นใจว่า “ปูนตราช้าง งานโครงสร้าง สูตรไฮบริด” จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีขึ้น และยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”
นายนิธิ กล่าวว่า นอกจากการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์จนมีปูนซีเมนต์ที่สามารถตอบทุกความต้องการด้านที่อยู่อาศัย “ปูนตราช้าง” ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการให้บริการกับพันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีทีม Technical & Management Service ที่มุ่งพัฒนาปรับปรุงงานด้านเทคนิคการผลิตสินค้า และแนะนำการใช้ปูนซีเมนต์ที่เหมาะสมต่อผลิตภัณฑ์ของลูกค้า เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ทำให้ธุรกิจของลูกค้ามีความแข็งแกร่ง มีการเติบโตที่ดี และเพิ่มขีดความสามารถในตลาดได้อย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มทีม Technical & Management Service ให้บริการทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้
ด้านนายอนุวัตร เฉลิมไชย แบรนด์ไดเรกเตอร์ สำนักงานบริหารแบรนด์ ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า ทิศทางการบริหารการตลาดปูนตราช้างครึ่งปีหลังนี้ นอกจากมีการสื่อสารถึงการเปิดตัว “ปูนตราช้าง งานโครงสร้าง สูตรไฮบริด” ยังเน้นกลยุทธ์การรักษาความเป็นผู้นำนวัตกรรมปูนซีเมนต์ ด้วยการปรับภาพลักษณ์ของแพกเกจจิ้งปูนตราช้างให้มีความทันสมัยมากขึ้น ตลอดจนโลโก้บนแพกเกจจิ้ง ซึ่งจะปรับเปลี่ยนจากรูปวงกลม เป็นรูปหกเหลี่ยมตราช้าง เพื่อให้สอดคล้องต่อทิศทางบริหารจัดการแบรนด์ตราช้าง และเอสซีจี ที่ต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์สินค้า และตอกย้ำความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งองค์กร
“ในปีนี้ บริษัทฯ จะใช้งบประมาณการตลาด 100 ล้านบาท สร้างการรับรู้ในแบรนด์ และจัดแคมเปญปูนตราช้าง โดยได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ และแพกเกจจิ้งใหม่ ตลอดจนการแนะนำปูนซีเมนต์สูตรใหม่เข้าสู่ตลาด เราจะเดินหน้าสร้างการรับรู้อย่างครบวงจรผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การจัดกิจกรรมการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม และเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “สู่ที่สุด” ซึ่งสะท้อนแนวคิดคุณภาพที่ไม่เคยหยุดนิ่งของตราช้าง ภายใต้แนวคิด “ปูนตราช้าง ภาพลักษณ์ใหม่ สร้างนวัตกรรมงานโครงสร้าง เพื่อคุณภาพชีวิตวันนี้และอนาคต”
นอกจากนี้ ยังได้จัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ได้มากขึ้น รวมถึงการนำเสนอ Application โครงสร้างแห่งอนาคต ภายใต้ชื่อ “Tra Chang Built it” ที่เป็นการนำเทคโนโลยี AR มาช่วยสร้างทุกจินตนาการงานก่อสร้างของคุณให้เป็นจริงได้ โดย Application นี้เป็นการใช้ AR code scan รูปทรงหกเหลี่ยม เพื่อตอกย้ำการเปลี่ยนโลโก้จากวงกลมเป็นหกเหลี่ยมของปูนตราช้าง
“จากการดำเนินกลยุทธ์การตลาดการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์โลโก้ และแพกเกจจิ้ง ตลอดจนการเปิดตัวปูนซีเมนต์สูตรใหม่เข้าสู่ตลาด จึงมั่นใจว่าจะยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องด้วยสัดส่วน 40%” นายนิธิ กล่าวปิดท้าย