นักกลยุทธ์การลงทุนต่างชาติ มอง ศก.ไทยมีสัญญาณดีขึ้น สะท้อนจากการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งดัชนีตลาดหลักทรัยพ์ฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ยังไม่ขอประเมินจีดีพีในปีนี้ เพราะต้องขอดูพัฒนาการในการปฏิรูปประเทศต่อไป โดยให้คำแนะนำลงทุนกลุ่มธนาคาร และสื่อสาร ส่วนแนวโน้มอัตรา ดบ.โลก คาดตลาดได้ตอบรับข่าวไปมากแล้ว จึงไม่มีผลกระทบต่อเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย และเอเชีย
นายฮาเรน ชาห์ ผู้อำนวยการและนักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส บริการบริหารความมั่งคั่ง ซิตี้ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3 จากปี 2556 ที่เติบโตร้อยละ 2.5 หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการฟื้นตัว ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการลงทุน และเศรษฐกิจทั่วโลก
โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 2.3 ส่วนยุโรป จะพ้นจากสภาพเศรษฐกิจถดถอยโดยเติบโตที่ร้อยละ 1.2 ขณะที่เอเชีย เป็นภูมิภาคเดียวที่มีจีดีพีสูงสุดขนายตัวร้อยละ 6.2 ส่วนประเทศจีน คาดว่าขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 7.5 แม้ว่าจีน มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ส่วนญี่ปุ่น คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4
สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้มองว่ามีสัญญาณดีขึ้น หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ดัชนีตลาดหลักทรัยพ์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูพัฒนาการในการปฏิรูปประเทศต่อไป จึงยังไม่ขอประเมินจีดีพีปีนี้ แต่มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปี 2558 จะดีขึ้น โดยอาจจะขยายตัวร้อยละ 4 ขณะเดียวกัน ให้คำแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นไทยในกลุ่มธนาคาร และสื่อสาร
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทยอยลดขนาดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) คาดว่า QE จะยุติลงเดือนตุลาคม 2557 และเฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2558 ซึ่งที่ผ่านมา ตลาดการเงินและตลาดหุ้นรับรู้ข่าวเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อเงินทุนไหลออกจากเอเชีย และไทย หากมีการยุติ QE ลง เพราะปัจจุบันประเทศในเอเชีย มีทุนสำรองระหว่างประเทศระดับสูง พร้อมกันนี้ ยังต้องติดตามปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศด้วย
ด้านการลงทุนในตลาดหุ้น ทางซิตี้ แบงก์ ยังมองในเชิงบวก โดยเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลตอบแทนในตลาดหุ้นดีกว่าตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว คือ สหรัฐฯ และยุโรปจะสูงกว่าตลาดเกิดใหม่ โดยหุ้นของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาดีขึ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทำให้หุ้นเหล่านี้มีรายได้เพิ่มขึ้น คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 7
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป จะให้กำไรต่อหุ้นที่ร้อยละ 10 เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัว และธนาคารกลางยุโรป ยังมีการผ่อนคลายเชิงปริมาณอย่างเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงิน 1 ล้านล้านยูโร ในการกระตุ้นจีดีพี