บล.เอเซีย พลัส เผยกำไรไตรมาส 2 ปีนี้ 255 ล้านบาท ผลดีรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น 84% ทั้งรายได้ค่าจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และรายได้ค่าธรรมเนียมการประสานงาน และมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น จากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP แจ้งผลงานไตรมาส 2 ซึ่งยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตโดยพบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 254.84 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 244.24 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4 %
โดยงวดนี้ บริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 จำนวน 331.62 ล้านบาท ลดลง 29% จากงวดเดียวกันของปี 2556 เนื่องจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันลดลง 27% จาก 50,527 ล้านบาท เป็น 36,902 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทลดลง 31% จาก 4,306 ล้านบาท เป็น 2,981 ล้านบาท
ขณะที่ค่าธรรมเนียม และบริการเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 109.46 ล้านบาท คิดเป็น 84% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และรายได้ค่าธรรมเนียมการประสานงาน และบริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 75.77 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น และในไตรมาสนี้บริษัทมีดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 36% จากไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้ว เนื่องจากการลดลงของเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ส่วนค่าใช้จ่ายรวมไตรมาสนี้มี 442.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2 ปีที่แล้ว
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP แจ้งผลงานไตรมาส 2 ซึ่งยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตโดยพบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 254.84 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 244.24 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4 %
โดยงวดนี้ บริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 จำนวน 331.62 ล้านบาท ลดลง 29% จากงวดเดียวกันของปี 2556 เนื่องจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันลดลง 27% จาก 50,527 ล้านบาท เป็น 36,902 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทลดลง 31% จาก 4,306 ล้านบาท เป็น 2,981 ล้านบาท
ขณะที่ค่าธรรมเนียม และบริการเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 109.46 ล้านบาท คิดเป็น 84% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และรายได้ค่าธรรมเนียมการประสานงาน และบริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 75.77 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น และในไตรมาสนี้บริษัทมีดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 36% จากไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้ว เนื่องจากการลดลงของเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ส่วนค่าใช้จ่ายรวมไตรมาสนี้มี 442.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2 ปีที่แล้ว