ธปท. จับตาตลาดเงินใกล้ชิดหลังทหารยึดอำนาจ ยอมรับเงินบาทยังอ่อนค่า แต่ไม่ถือว่ามากนัก “ประสาร” ประเมินไตรมาส 2 เศรษฐกิจไม่ติดลบ หากทำความเข้าใจต่างชาติได้ดี
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ถึงกรณีที่ตลาดหุ้นและตลาดเงินบาทไม่ได้ตอบรับเชิงลบต่อเหตุการณ์รัฐประหารวานนี้ โดยการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ปรับตัวลดลงหนักอย่างที่คาดไว้ เช่นเดียวกับค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย แต่ไม่รุนแรงจนน่ากังวล หรือต้องเข้าไปดูแลค่าเงินบาท เนื่องจากตลาดมีความเข้าใจ และเหตุการณ์รัฐประหารไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองก็ยืดเยื้อมานานกว่า 6-7 เดือน ก็ยังหาทางออกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ธปท.จะติดตามสถานการณ์ในตลาดเงินอย่างใกล้ชิด และเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุการณ์เพียงชั่วคราว
ส่วนกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกผู้บริหารหน่วยงาน และองค์กรของรัฐเข้าไปหารือนั้น ได้มอบหมายให้ นายเกริก วนิชกุล รองผู้ว่าการ ธปท. สายสถาบันการเงิน เป็นตัวแทนไปพบ เนื่องจากยังติดภารกิจอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ไม่น่าจะกระทบต่อการทำงานของ ธปท.
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ปีนี้ นายประสาร ระบุว่า เท่าที่ดูตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้านี้เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ไม่น่าจะติดลบ แต่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการอธิบายเรียกความเชื่อมั่น และจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ก็จะเร็วในการบริหารราชการแผ่นดิน บางประเทศมีคำเตือน แต่บางประเทศก็เข้าใจ ไม่น่าจะกระทบมากนัก
ดังนั้น ความสำคัญอยู่ที่การอธิบายเพื่อให้ต่างชาติเข้าใจ และจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว ก่อนหน้านี้ แค่เป็นจุดชะงักเท่านั้น สำหรับความกังวลถึงห่วงภาคท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะได้รับคำเตือนการเดินทางเข้าประเทศไทยนั้นเชื่อว่าเป็นปฏิกิริยาในช่วงแรกเท่านั้น
มองว่าสถานการณ์บ้านเมืองเรามาขนาดนี้ เรื่องการชะลอการเดินทางเข้ามาเป็นเรื่องปกติ จะทำอะไรได้ บ้านเมืองมาอย่างนี้ ขึ้นอยู่กับว่าทางเลือกที่เราจะหาทางออกเป็นอย่างไร และประเด็นสำคัญในเวลานี้คือ การเรียกความเชื่อมั่น ขณะนี้สิ่งที่คนต้องการรู้คือ ใครจะมาเป็นรัฐบาล และรัฐบาลมีนโยบายอย่างไร และสะสางเรื่องที่ยังค้างคา คือ เรื่องจ่ายเงินให้แก่ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น
โดยในแง่ระบบการบริหารประเทศที่มีการเรียกร้องให้ปฏิรูป ถือเป็นหนึ่งโจทย์ที่ประเทศไทยต้องจัดลำดับความสำคัญ หลายเรื่องต้องใช้เวลา อาจจะต้องตั้งคณะที่ทำเรื่องนิติบัญญัติ เรื่องการบริหาร เพราะเวลานี้เป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว คือ ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญก็จะต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
