ผู้จัดการ mai คนใหม่ ปรับกลยุทธ์ดึงธุรกิจกงสี และ SME เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น หวังสร้างโอกาสการระดมทุน ดึงศักยภาพผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าให้ได้ 100 บจ.ใน 5 ปี พร้อมรุกเทรนด์กีฬา เผยมีทีมบอลไทยพรีเมียร์ลีก เข้าเจรจาแล้ว 4-5 ทีม คาดไม่เกิน 2 ปีเข้าเทรดได้
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai คนใหม่ หลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงนโยบาย และทิศทางการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ mai ในปีนี้ว่า ในปีนี้ได้วาง 3 เป้าหมายเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีขนาดเล็กๆ ได้มีโอกาสในการแสวงหาแหล่งระดมทุนเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มช่องทางการขยายการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น คือ จะเพิ่มจำนวนของบริษัทจดทะเบียนอีกไม่ต่ำกว่า 100 บริษัท ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยเน้นกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่เป็นทายาทรับช่วงกิจการต่อในรูปแบบกงสี เพื่อต่อยอดพัฒนาธุรกิจให้เติบโตเป็นมหาชน ตลอดจนธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ขาดความรู้ และต้องการช่องทางการลงทุนใหม่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงจุดไหน เช่น ธุรกิจ SME และบริษัทที่ความรู้ความสามารถแต่ขาดเงินทุนในการพัฒนา
“ตลาดหุ้น mai มุ่งเน้นไปยังกลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม รวมทั้งบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจใหม่ๆ เช่น บริษัทที่ผลิตรายการให้แก่ช่องดิจิตอลทีวี ผู้ผลิตหุ่นยนต์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม และทีมฟุตบอลในไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีเข้ามาเจรจาบ้างแล้ว 4-5 ทีม โดยคาดว่าจะสามารถนำทีมเข้าจดทะเบียนได้ในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งขณะนี้บริษัทขนาดเล็กต่างๆ ส่วนใหญ่มักติดปัญหาขาดบุคลากรด้านออดิเตอร์ FA และ CFO”
นอกจากนี้ mai เตรียมที่จะพัฒนาบริษัทจดทะเบียนปัจจุบันให้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และมีคุณภาพ โดยในปีนี้มี บมจ.เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ หรือ APCO ที่มีการเติบโตขึ้นทั้งผลประกอบการ และกำไร ได้เตรียมที่จะย้ายจาก mai ไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ขณะเดียวกัน ทาง mai เตรียมที่จะสร้างกลไกให้ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
ในส่วนของการเตรียมที่จะปรับลดวงเงินที่จะจัดตั้ง mini mai เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนขนาดเล็ก หรือกลุ่มผู้ประกอบการขนาดย่อม โดยใช้เงินทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 10 ล้านบาท เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mini mai นั้น ซึ่งระเบียบขั้นต่ำของการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะใช้เงินทุนจดทะเบียนขั้นต่ำที่ 20-300 ล้านบาท โดยทางคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต. กำลังอยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูลความเป็นไปได้ แต่ยังติดอุปสรรคความพร้อมในหลายด้าน
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ขณะนี้มีทั้งหมด 95 บริษัท ณ วันที่ 18 มีนาคม 2557 โดยมีหลักทรัพย์ขนาดเล็ก 47 บริษัท ขนาดกลาง 31 บริษัท ขนาดใหญ่ 6 บริษัท และขนาดใหญ่พิเศษ 11 บริษัท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 179,811.31 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 1,180.69 ล้านบาท