หุ้นปิดบวก 6 จุด ทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ขานรับข่าวรัสเซียถอนทหารพ้นยูเครน และมีปัจจัยหนุน ทั้งการเก็งกำไร ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และผลประชุม กนง. อาจปรับ ดบ.นโยบาย เพื่อดูแล ศก. ขณะที่ปัจจัยวิกฤตยูเครน และภัยแล้ง ดันราคาน้ำมันพุ่ง ส่งผลให้มีแรงซื้อในหุ้นพลังงาน ต่างชาติซื้อ 1.3 พันล้าน คาดเม็ดเงินจ่อไหลกลับ 3.5 หมื่นล้าน
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 มี.ค.) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,345.82 จุด เพิ่มขึ้น 6.61 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.49% มูลค่าการซื้อขาย 31,116.87 ล้านบาท โดยวันนี้ นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 509 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 536 ล้านบาท
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับขึ้นเพราะได้รับแรงหนุนจากแรงเก็งกำไรในระยะสั้นที่คาดว่าจะมีการารประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการเก็งกำไรผลประชุม กนง. ในการปรับอัตรดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนในระยะกลาง นักลงทุนเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากภัยแล้งในประเทศ และภัยแล้งในบราซิล รวมถึงวิกฤตยูเครน หนุนหุ้นกลุ่มน้ำมัน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นแรงในช่วงบ่ายทิศทางเดียวกับภูมิภาค ขานรับข่าวรัสเซียสั่งถอนทหารออกจากยูเครน และปรับขึ้นทดสอบที่ระดับ 1,350 จุด แต่ก็มีแรงขายทำกำไรสวนออกมาต่อเนื่องกดดันตลาดฯ โดนคาดว่าน่าจะเป็นการขายของกองทุน Trigger Funds ที่จะทยอยปิดกองทุนจนถึงสิ้นเดือนนี้ 5-6 พันล้านบาท เมื่อราคาหุ้นหลักไต่ระดับขึ้นอย่างโดดเด่น กลายเป็นการเปิดโอกาสให้แก่กองทุนกลุ่มนี้
สำหรับแนวโน้มการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่จะกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะประเด็นการยกเลิก พ.ร.ก ฉุกเฉิน ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยเปรียบตัวเลขการเทขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ นับตั้งแต่วันที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน วันที่ 22 มกราคม 2557 ถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา โดยมียอดรวมขายสุทธิทั้งสิ้น 35,126.57 ล้านบาท
“หาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกเลิก เชื่อว่าจะทำให้กองทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นไทยก่อนหน้านี้ต้องกลับเข้ามาซื้อหุ้นภายหลังจากที่ขายไปก่อนหน้านี้ เพราะไม่ติดเงื่อนไขการลงทุนในประเทศที่อยู่สภาวการณ์ฉุกเฉิน (state of emergency) ถือเป็นการปลดล็อกในการลงทุน”
สำหรับรายชื่อที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET50 และ SET100 ที่สามารถเข้าลงทุนได้ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือหุ้น BBL KBANK KTB ซึ่งหุ้นเหล่านี้ปรับตัวลงมาแรงมากพอสมควร ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคม ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ปรับตัวลงมาแรง แต่เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องทางการเมืองทำให้ต่างชาติอาจจะเลี่ยง ซึ่งหุ้นที่ลงมาแรง คือ หุ้น INTUCH และ ADVANC
ด้านนายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ค่อนข้างผันผวน โดยในช่วงเช้าตลาดฯ แกว่งตัวในกรอบแคบ แต่พอในช่วงบ่ายตลาดฯ ได้มีการเร่งตัวขึ้นไปทดสอบแนว 1,350 จุด แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านไปได้ ทั้งนี้ เป็นผลจากทางรัสเซียได้สั่งถอนกำลังทหารออกจากยูเครน ทำให้ตลาดในยุโรปมีการรีบาวนด์ขึ้นในทันที เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่วันนี้ส่วนใหญ่จะปรับตัวขึ้นเฉลี่ยเกือบ 1% โดยเฉพาะตลาดฮ่องกงได้ปิดบวก 0.7% หลังจากมีข่าวรัสเซียถอนกำลังทหาร
นอกจากนี้ ตลาดบ้านเรายังต้องติดตามประเด็นทางการเมืองต่อไปด้วย ซึ่งเชื่อว่าภาพการเมืองจะมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยตอนนี้จะต้องติดตามดูเรื่องที่ กกต.ใด้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องที่ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หลังจากที่ครบกำหนด 30 วันแล้ว จะต้องทำให้รัฐบาลรักษาการออกจากตำแหน่งไปโดยปริยายหรือไม่ ซึ่งหากรัฐบาลรักษาการหมดอายุไป ก็จะเป็นบวกในแง่จิตวิทยา
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งไซด์เวย์ ซึ่งคงจะมีการเก็งหุ้น PTT ได้อีกเพียงวันเดียว ก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ โดย PTT จะจ่ายปันผล 8 บาท/หุ้น และการขึ้น XD จะส่งผลต่อดัชนี SET ประมาณ 2-3 จุด พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,340-1,350 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,552.38 ล้านบาท ปิดที่ 199.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,342.70 ล้านบาท ปิดที่ 173.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,325.18 ล้านบาท ปิดที่ 153.50 บาท ลดลง 1.00 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,320.85 ล้านบาท ปิดที่ 155.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,103.17 ล้านบาท ปิดที่ 176.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท