บอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์มีมติเลิกจ้าง “มนูญรัตน์” เหตุประเมินผลงานรอบ 6 เดือนไม่ผ่านเกณฑ์ พร้อมดำเนินเนินคดีหลังพบปล่อยสินเชื่อผิดหลักเกณฑ์ ขณะที่สหภาพฯ รวมตัวไล่ “นริศ ชัยสูตร” ประธานบอร์ด เหตุขัดแย้งฝ่ายบริหารทำแบงก์เสียหาย ด้าน “พิชัย ชุณหวชิระ” ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งประธานบริหาร
นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า บอร์ดได้ประชุมวาระพิเศษ เพื่อประเมินผลการดำเนินงานของ นายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข กรรมการผู้จัดการ ในรอบ 6 เดือนพบว่า ไม่ผ่านการดำเนินงาน จึงมีมติเป็นเอกฉันท์เลิกจ้างก่อนครบกำหนดสัญญา โดยจ่ายเงินชดเชยให้ 6 เดือน และให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พร้อมกับแต่งตั้งนางปาริฉัตร เหล่าธีระศิริวงศ รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการการแทนในช่วง 30 วัน ที่จะมีการพ้นตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดเห็นว่า การดำเนินงานตามดัชนีชี้วัดที่ นายมนูญรัตน์ ยื่นเสนอต่อบอร์ด 7 ข้อ โดยเป็นผลงานตามเป้าหมาย 70% และอีก 30% เป็นข้อเสนฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมาภิบาลพบว่า ตัวเลขที่เสนอบอร์ดมานั้นไม่เป็นความจริง ถือว่าเป็นการรายงานข้อมูลเท็จ ไม่รักษาผลประโยชน์ธนาคาร อนุมัติสินเชื่อที่ผิดระเบียบ และที่สำคัญหลักธรรมาภิบาลไม่ผ่าน บอร์ดจึงมีมติเลิกจ้างที่เป็นอำนาจของบอร์ด ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลรักษาการ และบอร์ดยังจะสอบสวนการทุจริต เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะมีการประชุมบอร์ดวาระเร่งด่วนช่วงบ่ายวานนี้ หลังมีกระแสข่าวปัญหาความขัดแย้งระหว่างบอร์ดกับกรรมการผู้จัดการ จนทำให้แผนฟื้นฟูไม่เป็นไปตามแผน ทำให้มีพนักงานบางส่วนแต่งชุดดำมาชุมนุมกันหน้าอาคารสำนักงานเอสเอ็มอีแบงก์ พร้อมกับชูป้ายขับไล่ นายนริศ ชัยสูตร ประธานบอร์ดเอสเอ็มอีแบงก์
นายสุเมท อนุสิทธิ์ศุภการ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ เอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า ได้พาพนักงานแต่งชุดดำหารือร่วมกัน เพื่อขับไล่ นายนริศ ให้ออกจากประธานบอร์ด เพราะเห็นว่ามีการขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้ใช้เวลาคัดเลือกเอ็มดีมาเป็นเวลานาน เมื่อคัดเลือกมาแล้ว ยังมีการขัดแย้งการทำงานระหว่างบอร์ดกับฝ่ายบริหาร พนักงานมองว่าจะทำให้งานของเอสเอ็มอีแบงก์ไม่เดินหน้า จึงต้องการให้ผู้บริหารลดความขัดแย้งเพื่อร่วมกันฟื้นฟูธนาคารต่อไป
นอกจากนี้ พนักงานยังต้องการให้เร่งพิจารณาโบนัสหลังจากกลับมามีผลกำไรตามเกณฑ์การคำนวณทางบัญชี แม้ฟังคำชี้แจงจากผู้บริหารก็ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร สหภาพฯ จึงขอทุกฝ่ายร่วมกันเพื่อลดความขัดแย้งภายในองค์กร
ด้านนายมนูญรัตน์ เลิศโกมลสุข กรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า การเดินหน้าแผนฟื้นฟูในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำให้ผลดำเนินงานในปี 2556 มีกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท พลิกฟื้นมาจากฐานะขาดทุนในปี 2555 จำนวน 4,039 ล้านบาท เพราะได้เร่งแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ให้กลับมาเป็นสินเชื่อปกติ สร้างรายได้ให้แก่ธนาคาร การลดรายจ่ายดอกเบี้ยต้นทุนของธนาคาร
สำหรับการแก้ปัญหาเอ็นพีแอลในปี 2556 สามารถแก้ไขจากเอ็นพีแอลได้ถึง 9,480 ล้านบาท จากยอดเอ็นพีแอล ณ สิ้นปี 56 มีจำนวนสูงถึง 31,539 ล้านบาท คิดเป็น 33.74% ของยอดสินเชื่อคงค้าง และในปี 2557 ได้ตั้งเป้าหมายดูแลสินเชื่อ และไม่ให้มีสินเชื่อตกชั้นเป็นเอ็นพีแอล เป้าหมายยอดเบิกจ่าย 27,000 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อคงค้างหลังตัดหนี้สูญ 96,475 ล้านบาท จึงนับว่ามีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาของธนาคาร
นายนริศ กล่าวว่า หลังการประชุมบอร์ดได้เข้าพบพนักงานเพื่อชี้แจงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับธนาคาร โดยยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณาโบนัสพนักงาน เพราะฝ่ายบริหารไม่ได้เสนอเข้ามาในที่ประชุม เนื่องจากยังต้อเสนออีกหลายขั้นตอน ทั้งเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แม้พนักงานพยายามเรียกร้องให้จ่ายโบนัส 4.75 เดือน เพราะไม่ได้รับโบนัสมาเป็นเวลานาน หลังจากได้ฟื้นฟูกิจการ ต้องรอให้ฝ่ายบริหารเสนอให้พิจารณา
“บอร์ดยืนยันต้องทำงานร่วมกับกรรมการผู้จัดการให้ได้ แต่การประเมินหากเห็นว่าไม่ยุติธรรมสามารถร้องเรียนได้ และขอร้องพนักงานอย่าหยุดงาน เพราะจะกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรและการให้บริการของลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก บอร์ดพร้อมทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร เพราะทำงานอีกไม่นานบอร์ดก็หมดวาระ เพื่อให้ฟื้นฟูองค์การให้ผ่านไปได้” นายนริศกล่าว
นายพิชัย ชุณหวชิระ ประธานกรรมการบริหารเอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า ผลดำเนินงานตามความจริงแล้วในปีที่ผ่านมา สามารถแก้ปัญหาจนพลิกกลับมามีผลกำไรถึง 1,200 ล้านบาท แต่กระทรวงการคลัง มองว่าควรสำรองเงินไว้ให้ชัดเจนสำหรับการแก้ปัญหา จึงกันเงินดังกล่าวไว้ เพื่อลงบัญชีในปี 56 ให้มียอดกำไร 600 ล้านบาท เมื่อแก้ปัญหาต่างๆ แล้วในปีหน้าเงินที่หักไว้ 1,500 ล้านบาท จะกลับมาเป็นผลกำไรให้กับธนาคารในปีหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด นายพิชัย ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร โดยอ้างความเหมาะสม และเพื่อยุติความขัดแย้ง