“ปัทมา วงษ์ถ้วยทอง” ปลื้มหลังการกีดกันทางภาษีเริ่มได้ผล หนุนแผ่น และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ “โซลาร์ตรอน” ขายดี เดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศ ส่วนปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในอินโดนีเซีย ให้ออกแบบระบบไฟฟ้าสำรอง พร้อมติดตั้ง หรือ DIY ให้แก่อาคาร และบ้านพักอาศัยในรูปแบบ Plug and Play ขณะที่ปี 57 วางเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% จากปัจจุบัน 10%
นางปัทมา วงษ์ถ้วยทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR ผู้นำในการผลิตแผ่นเซลล์ และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดมัลติ-คริสตัลไลน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ปัจจุบันแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่นำเข้าจากประเทศจีนจะต้องเสียภาษีนำเข้าถึง 10% แต่หากซื้อแผงเซลล์แสงอาทิตย์ภายในประเทศราคาจะไม่แพง เพราะโรงงานของโซลาร์ตรอน ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทำให้สามารถผลิตสินค้าในราคาไม่สูงมาก แต่มีคุณภาพระดับโลก อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีโรงงานอยู่ภายในประเทศ และมีทีมงานให้บริการเป็นของบริษัทเอง ที่สำคัญราคาเหมาะสมกับคุณภาพอีกด้วย
“ผู้ประกอบการไทยได้เปรียบในเรื่องของกำแพงภาษี โดยเฉพาะกับจีนที่เป็นผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์รายใหญ่ สินค้าจากจีนที่นำเข้าไทยจะต้องเสียภาษีนำเข้าถึง 10% ถ้าสินค้าจากจีนนำเข้ายุโรปจะต้องเสียภาษีในอัตรา 50% ส่วนสินค้าจากไทยหากส่งไปจำหน่ายในยุโรป ราคาจะถูกกว่า เพราะไม่ต้องเสียภาษี ขณะเดียวกัน “โซลาร์ตรอน” เองก็มีจุดเด่นอยู่ที่สามารถการันตี Output ของไฟฟ้าที่ผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายได้ ที่สำคัญราคาเหมาะสมกับคุณภาพเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนต่ำกว่า” นางปัทมากล่าว
ส่วนในปี 2557 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ขยายตัวประมาณ 30% จากปี 2556 เพราะรับรู้รายได้จากการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ บมจ.บางจาก ปิโตรเลียม (BCP) โครงการระยะที่ 3 ขนาด 50 เมกะวัตต์ และยังสามารถบริหารต้นทุนในการขายได้ดีขึ้นจึงทำให้มีอัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 10% เพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยภายในประเทศที่อาจมีความไม่แน่นอน โดยการเพิ่มสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศนั้น บริษัทฯ จะเน้นประเทศในแถบอาเซียน เนื่องจากมีความต้องการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากพันธมิตรในประเทศอินโดนีเซีย ให้ออกแบบระบบไฟฟ้าสำรอง พร้อมติดตั้ง หรือ DIY ให้แก่อาคาร และบ้านพักอาศัยในรูปแบบ Plug and Play จะช่วยขยายตลาดในต่างประเทศและสนับสนุนให้รายได้ของบริษัทฯ ในอนาคตเติบโตในทิศทางที่ดีอีกด้วย